วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สาทิตย์" ขู่ฟันวิทยุชุมชนปลุกระดม




ยันข่าวลอบทำร้ายถึงขั้นเอาชีวิต 'มาร์ค' ไม่หวั่นย้ำลงพื้นที่เชียงใหม่แน่ ระบุยังไม่ถึงขั้นประกาศพื้นที่ฉุกเฉิน

เมื่อ เวลา 14.00 น. วันนี้(20 พ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวว่าวิทยุชุมชนเชียงใหม่ ปลุกระดมประชาชนให้ออกมา ต่อต้านและทำร้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 29 พ.ย.นี้ ว่า การดำเนินการกับ วิทยุชุมชนนั้น ได้ทำไปหลายครั้งแล้ว แต่ยังมีการใช้ช่องว่างทางกฎหมายเปิดขึ้น มาใหม่อีก และเมื่อทางอนุกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้เปิดลง ทะเบียน หากพบใครกระทำการที่ผิดกฎหมาย และมีพยานหลักฐานชัดเจน ก็คงไม่สามารถออก ใบอนุญาตวิทยุชุมชนได้ ส่วนวิทยุชุมชนที่ จ.เชียงใหม่นั้น ตนได้ประสานกับตำรวจ ในพื้นที่ตลอดเวลา เพื่อให้ติดตามความเคลื่อนไหวและบันทึกเทปเอาไว้ ดังนั้นหาก ปรากฏหลักฐานชัดว่ามีการปลุกระดม เพื่อให้ทำร้ายใคร ถือว่ามีเจตนาทำความผิด ซึ่งจะมีความผิดทั้งทางอาญาและระเบียบวิทยุชุมชน ซึ่งจากข้อมูลพบว่าวิทยุชุมชน ที่ทำผิดนั้นเป็นกลุ่มเดิมๆ ที่มีประมาณ 20 สถานี

นายสาทิตย์ กล่าวว่า ตนได้หารือกับนายกรัฐมนตรีว่าขณะนี้มีวิทยุชุมชนที่อาศัย ช่องว่างของกฎหมาย ไปบิดเบือนข้อมูล ปลุกระดม คล้ายเหตุการณ์ช่วงก่อนเดือน เม.ย. 2552 ดังนั้นการดำเนินการกับกลุ่มคนเหล่านี้จะเข้มงวดขึ้น จะกล่าวหาว่า รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงไม่ได้อีก เพราะมีหลักฐานชัดเจน ก่อนหน้านี้วิทยุชุมชน เชียงใหม่เคยมีคดีที่ถูกดำเนินการฟ้องร้อง แต่เมื่อปรากฏข่าวขึ้นมาอีก คิดว่า โทษคงจะหนักกว่าเดิม

ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่รัฐบาลเข้มงวดจะยิ่งทำให้มีการปลุกระดมจนสถานการณ์ รุนแรงขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า เขาคงตั้งใจทำอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่รัฐบาลคงปล่อยให้ดำเนินการไม่ได้ ยืนยันว่านายกรัฐมนตรีจะเดินทางลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่แน่นอน หากใครดำเนินการอะไรที่ผิดกฎหมาย ก็ต้องจัดการแน่นอน เมื่อถามว่าสถานการณ์ขณะนี้จำเป็นต้องประกาศพื้นที่ฉุกเฉินหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะการประกาศพื้นที่ฉุกเฉินต้องเกิดเหตุการณ์ขึ้นก่อน.
ข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/content/images/0911/20/Online/satid.jpg

บทวิเคราะห์

จากกรณีที่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องวิทยุชุมชนอาศัยช่องว่างของกฏหมายปลุกระดมมวลชนและบิดเบือนข้อมูล ซ้ำยังขู่ว่านับแต่นี้หากใครดำเนินการอะไรที่ผิดกฏหมายก็จะจัดการแน่นอน ประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ คำให้สัมภาษณ์ว่า การจะประกาศพื้นที่ฉุกเฉินต้องให้เกิดเหตุขึ้นก่อน

การลงพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ของนายอภิสิทธิ์ มองได้หลายแง่ หากจะมองในแง่ดีสามารถมองได้ว่าเป็นการดูแลทุกข์สุขพี่น้องประชาชนในฐานะผู้นำประเทศซึ่งถือเป็นการสมควรอย่างยิ่ง แต่หากจะมองในอีกแง่มุมหนึ่ง เชียงใหม่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะเหตุใดนายอภิสิทธิ์จึงไปในพื้นที่ที่รู้ว่ามีแรงกระเพื่อมทางการเมืองสูงหรือว่านายอภิสิทธิ์และคนของรัฐบาลต้องการใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อมวลชนคนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวเพื่อหาเหตุควบคุมตัวแกนนำหรือไม่ก็ปิดวิทยุชุมชนหากคนเหล่านั้นนำมวลชนออกมา และพูดจาในทำนองที่รัฐบาลสามารถใช้เป็นข้ออ้างได้ว่าก่อให้เกิดเหตุรุนแรง

อย่าลืมว่านายอภิสิทธิ์และคนของรัฐบาลเป็นถึงผู้บริหารประเทศ การเดินทางไปไหนมาไหนย่อมมีการคุ้มกันความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ถึงแม้กลุ่มคนเสื้อแดงจะออกมาขับไล่ท่านผู้นำนับร้อยนับพันคน แต่ก็เป็นเพียงบริเวณรอบนอก ไม่สามารถเข้าถึงตัวบรรดาท่านผู้นำได้ "หากแต่ผลของการกระทำนั้นต่างหากที่รัฐบาลต้องการ นั่นคือนำไปสู่การจับกุมตัวแกนนำและจัดการสื่อของคนเสื้อแดงในพื้นที่ หากบรรดาแกนนำรู้ไม่เท่าทัน อาจจะต้องสูญทั้งสื่อที่อยู่ในมือและผู้นำมวลชนก่อนที่จะถึงเวลาชุมนุมใหญ่"

คงมีคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อย ฝากช่วยเตือนแกนนำในต่างจังหวัดให้ระมัดระวังการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะการพูดจาทำนองยั่วยุปลุกระดมมวลชนผ่านวิทยุชุมชน "คำว่าชักชวนกันออกมาปกป้องประเทศชาติและประชาธิปไตยกับคำว่าขู่ฆ่า ขู่ทำร้าย" ความหมายแตกต่าง ภาษาที่ใช้ก็หนักเบาต่างกัน จงเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเวลาและโอกาส อดทน อดกลั้น เก็บอารมณ์ไว้ระเบิดในงานใหญ่จะไม่ดีกว่าหรือ?

" ทักษิณ" ทำตัวเองแท้ๆ



อุตส่าห์สะสมพลังเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่ถูกยึดอำนาจแม้ต้องระเห็จอยู่ต่างประเทศ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังสามารถครองใจประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังรักและศรัทธาในตัว และยิ่งได้กลุ่มคนเสื้อแดงที่รวมตัวกันจงรักภักดีต่ออดีตผู้นำประเทศ เรียกร้องความเป็นธรรมให้ในทุกๆ เรื่อง มีการแสดงพลังเพื่อช่วงชิงมวลชน แม้จะเป็นเรื่องของการเมืองบนถนน แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงเป็นหนึ่งในใจประชาชนไม่เปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด

การเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สามารถช่วงชิงพื้นที่ข่าวกระทบมาถึงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่รัฐบาลปัจจุบันจะหมายหัวกาชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือศัตรูถาวรทางการเมือง และพร้อมที่ดำเนินการทุกวิถีทางในฐานะผู้ถืออำนาจรัฐ กับอดีตผู้นำพลัดถิ่นผู้นี้ ถึงแม้จะผิดจากวิสัยคนไทยทั่วไปที่คนล้มแล้วไม่ข้าม แต่สำหรับกรณีนี้ต่างฝ่ายต่างสามารถเหยียบหน้ากันได้เลย

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความร้อนรนกระหายอยากจะกลับเข้าประเทศอย่างผู้บริสุทธิ์ แต่คงไม่บรรลุผลแม้กลุ่มคนเสื้อแดงจะเพียรพยายามเคลื่อนไหวเพียงใด ดังนั้นแผนแยบยลที่คิดว่าจะเป็นการได้ใจประชาชนคือการยกระดับตัวเองขึ้นเป็นบุคคลสำคัญของประเทศเพื่อนบ้าน โดยการนัดแนะให้ ฮุน เซน ผู้นำเขมรตั้งเป็นที่ปรึกษาทั้งส่วนตัวและรัฐบาลจึงเกิดขึ้น แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นตรงกันข้าม ทั้งนี้เพราะผู้คนในชาติเชื่อว่ามีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง

ประการสำคัญผู้คนส่วนใหญ่มองว่ามันคงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องไปเป็นที่ปรึกษาให้ ฮุน เซน และรัฐบาลกัมพูชา ในเมื่ออดีตผู้นำประเทศเป็นคนไทย กอปรกับการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดันมาเกิดในช่วงวิกฤตินี้พอดี ดังนั้นกระแสประชาชนจึงเริ่มไหลเทกลับมาสู่ฝ่ายรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เพราะแม้แต่ผู้จงรักภักดีในตัวอดีตผู้นำประเทศยังไม่กล้าออกตัวเพราะเกรงกระแสประชาชน

ดังนั้นโอกาสที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงจะกลับมาแข็งแกร่งดังแต่ก่อนคงเป็นเรื่องยาก เพราะทั้งสองกรณีที่สร้างขึ้นมาเพื่อหวังกระแสนิยมมันตีกลับจนทำท่าว่าจะไปไม่รอด ถึงแม้จะแก้ตัวอย่างไรคงยากที่จะเรียกความรู้สึกดีๆ ให้กลับคืนมาได้ เพราะความเป็นสายเลือดไทยของประชาชนคนไทยนั้นแรงมาก และดูเหมือนว่าแรงกว่าอดีตผู้นำประเทศที่คิดเองเออเองว่าตนนั้นทำถูกต้อง ถือเป็นจุดเสื่อมถอยของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะทำตัวเองแท้ๆ

ข่าวจาก หนังสือพิมพ์บ้านเมือง/www.ryt9.com

บทวิเคราะห์

การที่ "ทักษิณ" ไปเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับประเทศกัมพูชา ทำให้รัฐบาลเสียศูนย์และเสียหน้าไม่น้อยเนื่องจากต่างประเทศเห็นความสำคัญของ นช.มากกว่ารัฐบาลไทย จึงพยายามออกมาปลุกระดมให้ประชาชนคลั่งชาติแต่ก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าใดนัก เหตุเพราะกรณีคนไทยไปเป็นที่ปรึกษาต่างชาติเคยมีมาก่อนหน้านี้ และถึงแม้สถานะทักษิณจะเป็น นช. แต่โปรดอย่าลืมว่าคดีที่ดินรัชดา ทั่วโลกไม่ถือเป็นความผิดและไม่ใช่แต่เฉพาะกัมพูชาเพียงประเทศเดียวเท่านั้น

ถึงแม้สื่อของรัฐและพันธมิตรฯ ร่วมกับนักวิชาการ และบรรดาลิ่วล้ออำมาตย์พยายามออกมาชี้แจงให้ประชาชนเห็นถึงผลเสียในกรณีดังกล่าว แต่ก็ถูกสื่อคนเสื้อแดงและบรรดาแกนนำซึ่งลงพื้นที่พบปะประชาชนเพื่อชี้แจงตลอดจนมีการโฟนอินของ "ทักษิณ" อธิบายอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผู้ที่ยังรักและศรัทธา "ทักษิณ" มั่งคงไม่เปลี่ยนแปลง

และเมื่อมีเหตุการณ์กัมพูชาควบคุมตัววิศวกรไทยข้อหาขโมยตารางบินทักษิณซึ่งเป็นแขกของรัฐบาล และเมื่อรัฐบาลกัมพูชารากยาวไปถึงข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติเพราะดันไปเอี่ยวกับข้อมูลของสมเด็จฮุนเซน จึงทำให้เกิดเรื่องราวบานปลาย และ หากเรื่องนี้มีข้อมูลหลักฐานชัดเจน รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าร่วมด้วยช่วยกันกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเกณฑ์คนมาล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนถึง 3 ครั้ง ก็จะยิ่งทำให้ทั่วโลกกังขาในพฤติกรรมของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์และระบอบการปกครองของไทยมากขึ้น

และหากรัฐบาลไทยยังขืนดันทุรังไล่ล่าทักษิณไม่จบไม่สิ้น โดยไม่สนใจเรื่องปากท้องประชาชน ไม่สนใจผู้ที่ออกมาชุมนุมขับไล่ ทั้งยังมีข่าวการทุจริตคอรัปชั่นออกมาอย่างต่อเนื่อง หนำซ้ำคนของรัฐบาลลงพื้นที่มีแต่ประชาชนขับไล่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่า ไม่ต้อนรับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ประเทศไทยก็จะยิ่งถูกจับตามองด้วยความสงสัยจากสายตาชาวโลก

ประการสำคัญหากทักษิณเดินเกมผู้นำพลัดถิ่นที่มีค่าหัว ถูกรังแกด้วยการใส่ร้ายป้ายสีเรื่องคดีที่ดินรัชดา หนำซ้ำยังอาจถูกยึดทรัพย์ที่หามาได้โดยสุจริตและมีมาก่อนหน้าจะลงเล่นการเมือง ตามด้วยการโฆษณาชวนเชื่อถึงการถูกไล่ล่าจากรัฐบาล ก็จะยิ่งทำให้ต่างประเทศเข้าใจไปว่า ท่านถูกโค่นล้มอำนาจทั้งที่คนไทยยังรักและศรัทธาหนำซ้ำยังเรียกร้องหาจนถึงปัจจุบัน

และหากมีสื่อบางแขนงที่น่าเชื่อถือฟังธงลงไปว่า "เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ซึ่งได้รับการอุ้มชูจากเหล่าอำมาตย์ ทหาร นักวิชาการบางส่วน สื่อ และที่สำคัญพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาทำร้ายประเทศชาติเสียหายหลายแสนล้านบาทเพื่อโค่นล้มรัฐบาลของประชาชนจนสำเร็จ แต่หากทักษิณยังมีชีวิตอยู่ คนเหล่านั้นมีความเชื่อว่า "เขาจะกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง และเมื่อนั้นคดีความต่างๆ ของพันธมิตรฯ รวมทั้งคนในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะต้องถูกรื้อฟื้น"

เมื่อถึงเวลานั้นอำนาจ วาสนาที่เคยมีมาก็จะหมดลง พวกเขาจะเดือดร้อนอย่างหนัก จึงลงมือส่งทีมไล่ล่า ชนิดไม่ตายไม่เลิก เพื่อรักษาอำนาจของเหล่าอำมาตย์และบรรดาผู้ที่อุ้มชูรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไว้นั่นเอง และหากต่างชาติได้รับข้อมูลข่าวสารตามนี้และคิดไปตามนั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์?

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แดงชุมนุม 29 พ.ย.- 3 ธ.ค . มาร์ค ไม่ทราบวัตถุประสงค์



"มาร์ค" บอกยังไม่ทราบวัตถุประสงค์การชุมนุมของคนเสื้อแดง ในวันที่ 29 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2552 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีกระแสข่าวว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศนัดชุมนุมในวันที่ 5 ธันวาคม แต่นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กลับออกมากล่าวว่าคนเสื้อแดงกระทำการไม่เหมาะสมเพราะใกล้วันมงคล

เมื่อเป็นเช่นนี้หลายคนคงงุนงงสงสัยว่าทำไมการที่กลุ่มพันธมิตรฯจะออกมาชุมนุมในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น จึงไม่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการกระทำไม่ถูกต้องเหมาะสม ดังเช่นกรณีที่วิจารณ์กลุ่มเสื้อแดง

เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คือความพยายามในการสร้างสถานการณ์ให้ดูสับสนวุ่นวาย เพื่อให้กงล้อประวัติศาสตร์แห่งการปฏิวัติรัฐประหารครั้งใหม่หมุนกลับมาอีกครั้ง ด้วยเหตุผลเพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติเช่นในอดีต

จตุพรแฉมีเทปลับ "กษิต" สั่งการหาตารางบินทักษิณ




นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ออกมาแฉว่ามีเทปลับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสั่งหาตารางบิน อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และในวันที่ 19 พฤศจิกายน เวลา13.00 น. จะมีการแถลงข่าวเรื่องนี้ที่ ชั้น 6อิมพีเรียล ลาดพร้าว

หากข้อมูลที่แกนนำ นปช.ออกมาให้สัมภาษณ์เป็นความจริง คงมีคนสงสัยว่านายกษิต ภิรมย์ ต้องการตารางบิน"ทักษิณ"ไปเพื่ออะไร แต่หากจะวิเคราะห์คงต้องมองย้อนไปถึงอดีตนับตั้งแต่มีการโค่นล้มรัฐบาลไทยรักไทยโดยเริ่มจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาชุมนุมเป็นจำนวนมาก ในครั้งนั้นคนเสื้อแดงกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านขณะนั้น ได้สนับสนุนให้ขนคนมาร่วมชุมนุม กระทั่งเกิดการปฏิวัติรัฐประหารโดย คมช.ในวันที่ 19 กันยายน 2549 และนายกษิต ภิรมณ์ก็คือแกนนำคนหนึ่งในพันธมิตรฯ

และหากข่าวการจารกรรมตารางบินนี้มีข้อมูลหลักฐานชัดเจน โดยกัมพูชาสามารถตรวจสอบและยืนยันเป็นข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ จะส่งผลกระทบกับชื่อเสียงของรัฐบาลไทยในสายตาชาวโลกอย่างไม่ต้องสงสัย และที่สำคัญจะยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงการตามล่าตามล้าง "ทักษิณ"ให้สูญสลายไปจากใจประชาชนคนไทยว่าไม่บรรลุผล หนำซ้ำการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลชุดปัจจุบันนั่นเอง ยังทำให้ประชาชนคนรากหญ้าเรียกร้องหาทักษิณมากขึ้นกว่าเดิม

ยิ่งกว่านั้นข่าวนี้ยังส่งผลให้ชื่อเสียงของรัฐบาลไทยเสียหายในสายตานานาชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่านายกษิต ภิรมย์ เป็นหนึ่งในพันธมิตรฯ ที่ออกมาขับไล่ "ทักษิณ"และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึง 2 คณะ แล้วผลักดันพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้จัดตั้งรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกฯ ตัวนายกษิตเองได้รับการปูนบำเหน็จเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นการยืนยันความเป็นกลุ่มการเมืองเดียวกันของกลุ่มพันธมิตรฯและพรรคประชาธิปัตย์ที่แนบแน่นอย่างไร้ข้อกังขา

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทักษิณจะถูกตามล่าตามล้างเพียงใด คอข่าวการเมืองต่างเชื่อมั่นว่าหากมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป"นอมินี หรือรากเหง้าทักษิณ"จะกลับมาผงาดอีกครั้ง แต่หากทักษิณไม่มีตัวตนอยู่บนโลก "ต้นตำหรับทักษิโณมิกก็จะจบสิ้นลง" และนี่เองที่อาจเป็นสาเหตุให้มีผู้สันนิษฐานว่าขณะนี้ได้มีการตั้งค่าหัว ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำพลัดถิ่นของคนไทย

40 ส.ว. ลากตั้ง ร้องให้วิศวกร นักลงทุนไทยออกจากเขมร


40 ส.ว. ยุคนไทยถอนตัวหากินในกัมพูชา เชื่อเป็นแผนสร้างภาพฮีโร่ให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร พร้อมเล็งฟ้องยูเอ็นเขมรกลั่นแกล้งวิศวกรไทย

นาย ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว. สรรหา แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวว่า การที่กัมพูชา จับกุมวิศวกรชาวไทย เป็นโมเดลเดียวกับที่เกาหลีเหนือจับนักข่าวสหรัฐ 2 คน ที่ล้ำเขตแดนเข้าไป และสุดท้ายนายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯไปเจรจาขอตัว
คืนกลับมา แต่ที่ต่างกันคือกรณีที่กัมพูชานั้น เป็นการจัดฉากสร้างภาพให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และสมเด็จฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาเป็นฮีโร่ และสร้างอำนาจต่อรองกรณีพิพาทพื้นที่ทับซ้อนปราสาทพระวิหาร จึงขอเรียกร้องให้วิศวกรชาวไทยที่ทำงานในกัมพูชา ให้กลับไทยให้หมด หากไม่มีวิศวกรควบคุม เครื่องบินก็บินไม่ได้ และขอเรียกร้องให้นักลงทุน นักท่องเที่ยว นักพนัน งดเว้นเดินทางไปกัมพูชาตราบใดที่มีผู้นำยังเป็นฮุนเซน ในฐานะ ส.ว.จะประสานงานไปยังองค์กรเอกชน สภาทนายความ ดูแลนายศิวรักษ์ให้ได้รับความเป็นธรรม

ขณะที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว. สรรหา ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภากล่าวว่า ในวันที่ 19 พ.ย. นี้ จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ โดยจะมีการเรียกร้องให้องค์กรสิทธิมนุษยชน ขององค์การสหประชาชาติ เข้ามาติดตามเรื่องดังกล่าว เพราะว่ากัมพูชาอาจจะไม่ได้ดำเนินการตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/pol/47663,redthai


40 ส.ว.ลากตั้ง เรียกร้องให้วิศวกรไทย รวมทั้งบรรดานักลงทุน และนักการพนันขอให้งดเดินทางไปกัมพูชา งานนี้ NGO ออกมาร่วมประท้วงด้วย

จากข่าว 40 ส.ว. คงลืมไปแล้วว่าวิศวกรและนักลงทุนที่อยู่ในกัมพูชาเขาทำงานเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว และนั่นคืออาชีพคืองาน หากท่านเรียกร้องให้คนเหล่านั้นทิ้งงาน ทิ้งแหล่งทำมาหากิน ท่านสามารถหาสิ่งเหล่านั้นมารองรับพวกเขาแล้วหรือ

ถ้า 40 ส.ว.มีงานรองรับ บรรดาวิศวกร นักลงทุนและครอบครัวจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน หากยอมกลับมาตามคำเรียกร้องของท่าน แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น แสดงว่าท่านทำไปโดยไม่สนใจความเดือดร้อนของพวกเขา อาจทำให้มีหลายฝ่ายมองว่า ที่ท่านออกมาเคลื่อนไหวเพื่อสร้างกระแสข่าวหรือเพื่อมีบทบาทหน้าจอทีวี

ส่วนกรณีที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว. สรรหา ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภากล่าวว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ โดยจะมีการเรียกร้องให้องค์กรสิทธิมนุษยชน ขององค์การสหประชาชาติ เข้ามาติดตามเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่ากัมพูชาอาจจะไม่ได้ดำเนินการตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล นั้น

หลายฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้นำข้อมูลหลักฐานที่แต่และฝ่ายมีเข้าสุ่เวทีสากล โดยผ่านองค์กรสิทธิมนุษยชน ขององค์การสหประชาชาติ แต่อยากเตือน ส.ว.สรรหาด้วยความหวังดีว่าหากกัมพูชามีข้อมูลหลักฐานชัดเจนตามที่เป็นข่าว จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความชอบธรรมให้ "อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร" และย้ำเตือนถึงความผิดพลาดของรัฐบาลชุดปัจจุบันและอาจโยงไปถึงการยึดอำนาจ 19 กันยา

ว่าข้ออ้างในการปฏิวัติรัฐประหารเป็นเพียงต้องการหาทางกำจัด "ทักษิณ" ให้พ้นไปจากอำนาจที่ประชาชนมอบให้ แต่ตลอดสามปีที่ผ่านมากลับมีเสียงเรียกร้องหา "ทักษิณ" มากขึ้นกว่าเดิม รัฐบาลจึงจำเป็นต้องหาทางกำจัดในช่วงที่ "ทักษิณ" เดินทางไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฮุนเซน

มีหลายฝ่ายออกมาท้าทาย ส.ว.สรรหาให้รีบดำเนินการนำเรื่องนี้ไปบอกองค์กรสหประชาชาติ เร่งตรวจสอบกรณีดังกล่าว เพราะอยากรู้ว่ากัมพูชามีหลักฐานแน่นหนาเท็จจริงแค่ไหน หากไม่เป็นความจริงจะได้รู้กันว่ากัมพูชาร่วมมือกับทักษิณกล่าวหาคนไทย แต่หากฝ่ายกัมพูชามีหลักฐานชัดเจน องค์กรสหประชาชาติและชาวโลกจะได้รู้ว่านับตั้งแต่ปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยา มีขบวนการใส่ร้ายป้ายสีและหาทางกำจัด "ทักษิณ ชินวัตร" อย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการต่างๆ โดยมี ส.ว.สรรหา เป็นแนวร่วม

ส่วนกรณีที่มีพวก NGO ออกมาร่วมประท้วงด้วยนั้น หลายฝ่ายรู้อยู่แล้วว่า NGO คือหนึ่งในพันธมิตรประชาชนเพื่อประชา
ธิปไตย จึงไม่แปลกอะไรที่จะออกมาร่วมด้วยช่วยกันกับ ส.ว.ลากตั้ง ซึ่งมีที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยา ที่พันธมิตรฯ ปูทางให้ทหารเข้ามายึดอำนาจไปจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิเคราะห์บึ้มเวทีพันธมิตรฯ




จากกรณีมีเหตุระเบิดที่เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน เวลา 21.30 น. ขณะนั้นเป็นช่วงที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ขึ้นเวทีปราศรัย จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า "เป็นระเบิดชนิดเอ็ม 79" ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้เข้าร่วมชุมนุม หลายฝ่ายรับรู้ข่าวนี้ด้วยความเศร้าใจและออกมาประณามผู้ที่กระทำการดังกล่าว

มีหลายฝ่ายสรุปว่า "เป็นการสร้างสถานการณ์" และจากข้อสรุปนี้มีคำถามตามมามากมายว่า ใครเป็นผู้สร้าง? สร้างขึ้นเพื่อหวังผลอันใด? และทำไปเพื่ออะไร? ทำไปเพราะความคึกคะนอง หรือเพราะเห็นชีวิตผู้บริสุทธิ์ที่ต้องเสียเลือดเนื้อเป็นเหยื่อกระนั้นหรือ?

พันธมิตรฯ มีการชุมนุมหลายครั้ง และมักมีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นที่กรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด แต่ไม่เคยมีแกนนำสำคัญๆ คนใดได้รับบาดเจ็บแม้แต่ครั้งเดียว จากเหตุการณ์ในคืนวันที่ 15 แกนนำและบุคคลสำคัญก็ปลอดภัยราวกับมีอภินิหาร และมือก่อเหตุก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยไม่สามารถจับมือใครดมได้เช่นเคย ราวกับเป็นสูตรสำเร็จในการชุมนุมของ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ยังไงยังงั้น

มีหลายฝ่ายสังสัยว่า "ทำไมต้องเกิดเหตุช่วงที่นายสนธิ ลิ้มทองกุลขึ้นเวทีปราศรัย" หากเป็นการเจาะจงหรือต้องการข่มขู่แกนนำคนสำคัญ ผู้กระทำการก็น่าจะรู้เวลาพอสมควรว่าใครขึ้นเวทีช่วงไหน และหากไม่ใช่ผู้สนิทสนมหรือคนกันเอง จะสามารถล่วงรู้ตารางเวลานี้หรือไม่?

มีประชาชนจำนวนไม่น้อยนำการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงและคนเสื้องเหลืองมาเปรียบเทียบ รัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศใช้ พรบ.ความมั่นคงทุกครั้งเมื่อคนเสื้อแดงนัดชุมนุม "ด้วยข้ออ้างป้องกันไม่ให้เกิดรุนแรงและเกรงจะมีการสร้างสถานการณ์" และเพราะเหตุใดเมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนัดชุมนุมใหญ่ ซึ่งบรรดาแกนนำต่างออกมาคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก รัฐบาลจึงไม่ประกาศ พรบ.ความมั่นคง

หากมองในแง่ดี สมารถมองได้ว่า "รัฐบาลมั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุรุนแรงและไม่มีการสร้างสถานการณ์ รวมทั้งมั่นใจว่าพันธมิตรฯ จะไม่เข้าไปบุกยึดสถานที่ราชการ สนามบินนานาชาติเหมือนอย่างที่เคยทำเมื่อครั้งอดีต แต่หากจะมองในอีกแง่หนึ่งอาจมีคนมองว่า "ตั้งใจเปิดช่องให้มีการสร้างสถานการณ์และก่อเหตุรุนแรงจากกลุ่มผู้ไม่หวังดีเพื่อนำไปขยายผลทางการเมือง"

และเมื่อนำมาบวกกับคำให้สัมภาษณ์ของบรรดาแกนนำ ต่างออกมาให้สัมภาษณ์เชื่อมโยงไปถึงคนใกล้ชิดอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร และคนของพรรคเพื่อไทย ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถสรุปประเด็นและหาหลักฐานมาประกอบ หลายฝ่ายจึงออกมาเตือนพันธมิตรฯ ด้วยความหวังดีว่า การออกมาให้สัมภาษณ์ทั้งที่ไม่มีข้อมูลหลักฐานชัดเจน อาจเกิดกระแสตีกลับกลายเป็นว่า "เจตนาใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้ามเพื่อหวังผลทางการเมือง ต้องการให้อีกฝ่ายเสียชื่อเสียงและสร้างกระแสแห่งความเกลียดชังก็เป็นไปได้"

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ปชป.แฉ "แม้ว" ใช้เขมรเป็นฐาน หวังล้มรัฐก่อนสิ้นปี



คนของ "พรรคประชาธิปัตย์" ออกมาแฉ "อดีตนายกทักษิณ" ใช้เขมรเป็นฐานหวังล้มรัฐบาลก่อนสิ้นปี

จากการให้สัมภาษณ์นี้ คนของพรรคประชาธิปัตย์คงลืมไปแล้วว่าผู้ที่แต่งตั้ง "ทักษิณ" คือ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี สมานภูมิชาติศาสนา รักขตขัตติยา เขมรารัฐราษฎร์ พุทธินทราธรามหากษัตริย์ เขมราชนา สมุโหภาส กัมพุชเอกราชรัฐบูรณสันติ สุภมงคลา ศรีวิบุถา เขมราศรีพิราษฎร์ พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี เป็นผู้ทรงลงพระนามรับรองพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้ง "ทักษิณ ชินวัตร"เป็นที่ปรึกษาด้านและเศรษฐกิจและที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฮุนเซน ด้วยพระองค์เอง

ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง จึงอยากเตือนรัฐบาลว่า การออกมาให้สัมภาษณ์แบบนี้ หากรัฐบาลกัมพูชารู้ สามารถตีความได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์พูดทำนอง "ทักษิณ" หลอกใช้องค์พระประมุขและสมเด็จฮุนเซนแห่งกัมพูชา

หากรัฐบาลและประชาชนกัมพูชาไม่ถือสา คงปล่อยข่าวนี้ผ่านเลยโดยไม่เก็บมาใส่ใจ แต่ในทางกันตรงข้าม หากคนของกัมพูชาคิดว่า "พรรคประชาธิปัตย์กำลังสบประมาทองค์พระประมุขของพวกเขารวมทั้งสมเด็จฮุนเซน" ว่าไม่มีความคิดยอมให้ "ทักษิณ" ซึ่งขณะนี้อยู่ในฐานะนักโทษหนีคดีของไทยหลอกใช้จะเป็นเช่นไร?

และหากกัมพูชาคิดเช่นนั้นสถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่ในขณะนี้ จะไม่แย่ลงไปอีกกระนั้นหรือ ดีไม่ดีอาจส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อนายกอธิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีข่าวว่าจะเข้าพบสมเด็จฮุนเซนที่สิงคโปร์ในวันพรุ่งนี้

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พันธมิตรฯ นัดชุมนุม 15 พ.ย. ต้านทักษิณ




หลังจาก พันธมิตรเพื่อประชาชนและประชาธิปไตย ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นข้อเรียกร้องกรณีกัมพูชาเมื่อวานนี้ (9 พ.ย.)ไปเรียบร้อยแล้ว

วันนี้ (10 พ.ย.)ก็ได้ออกมาประกาศจะนัดชุมนุมใหญ่ต่อต้าน "ทักษิณ" ในวันที่ 15 พฤศจิกายน เวลา 16.00 น. ที่ท้องสนามหลวง ก่อนเคลื่อนมาที่ลานพระบรมรูปทรงม้า

ในอดีตพันธมิตรฯ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการโค่นล้ม "รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึง 3 คณะ" จนสุดท้ายก็ได้อภิสิทธิ์แห่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรี และในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีหลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นไปในทำนองเดียวกับอดีต และนี่คงเป็นการร่วมมือกันอีกครั้งระหว่างประชาธิปัตย์และพันธิมิตร "ในฐานะผู้ก่อการดี" ที่จะออกมาทำให้ประเทศชาติและประชาชนอีกครั้ง

หลังจากครั้งที่แล้วมีการบุกยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง รวมทั้งสนามบินนานาชาติ ทำให้ไทยเสียหายนับแสนล้าน เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวพังยับเยิน ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น และจนถึงบัดนี้คดียังไม่มีความคืบหน้า หลายฝ่ายมองว่า เหตุเพราะมีรัฐบาลหุ่นเชิดของนายอภิสิทธิ์เป็นเกราะปกป้องคุ้มกันอย่างดี

และในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ ก็ได้เวลาที่ "ผู้ก่อการดีของชาติ" จะเริ่มทำความดีอีกครั้ง จึงฝากเตือนเพื่อนพ้องพี่น้อง และนักธุรกิจทั้งชาวไทยและต่างชาติร่วมกันทำใจไว้เสียแต่เนิ่นๆ

พล.อ. สนธิ เติมเชื้อความขัดแข้ง ไทย-กัมพูชา





พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.ออกมากล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ว่ารัฐบาลใช้มาตรการตอบโต้เหมาะสมแล้ว สำหรับความพร้อมของกองทัพ ไม่ต้องห่วง พร้อม 24 ชั่วโมง และไม่กลัวแม้เขรมมีสนธิสัญญาช่วยเหลือกับลาว-เวียดนาม

การออกมาให้สัมภาษณ์ทำนองนี้ เหมือนเป็นการเติมเชื้อเเพลิงความขัดแย้งให้ขยายพื้นที่กว้างขึ้นไปอีก เพราะเป็นการท้าทายประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและเวียดนาม โดยไม่แคร์ว่าประชาชนและผู้นำทั้งสองประเทศจะคิดเช่นไร

จากคำให้สัมภาษณ์นั้น ทำให้คิดไปได้ว่า ท่านหมายถึง ไทยมีความพร้อมด้านการทหารมากกว่ากัมพูชา ลาวและ เวียดนาม ร่วมมือกันใช่หรือไม่?

อยากเตือนด้วยความรักและห่วงใยเพื่อร่วมชาติ ว่าขอให้ท่านคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาในเรื่องเศรษฐกิจปากท้องประชาชนให้มากกว่านี้ อดีตประธาน คมช. คงลืมไปแล้วว่า ประเทศไทยพึ่งพาการค้าขายระหว่างประเทศมากพอสมควร หากเราเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยเหตุผลเพียงว่า กัมพูชาแต่งตั้ง "ทักษิณ" เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จฮุนเซน" ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดคงหนีไม่พ้นพี่น้องตามแนวชายแดน และที่สำคัญนานาชาติจะมองประเทศไทยเช่นไร?

จตุพรชี้ "รัฐและไทมส์" บิดเบือนข่าววางแผนทำลายทักษิณ


'ตู่'โวย'ไทมส์จับมือรบ.' 'วางยา'ดิสเครดิต'แม้ว' จวก'สุรเกียรติ'หายหัว! จี้ออกแก้ต่าง'ขายชาติ จตุพร-สุรเกียรติ-ทักษิณ

“ตู่”จวกรัฐบาลวางแผนทำลาย “แม้ว”ใช้วิธีการเดียวกับ คมช. พร้อม แฉสามีส.ส.-โทรโข่งรัฐบาลบินนิวยอร์คเจรจากับสื่อไทมส์ก่อนสัมภาษณ์ อัด “สุรเกียรติ”อย่ามุดหัวต้องออกมาแจงใครขายชาติ

วันที่ 10 พ.ย. 2552 ที่รัฐสภา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าขณะนี้รัฐบาลกำลังใช้วิธีการเดียวกันกับที่สมัย คมช.เคยใช้ ซึ่ง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ได้จ้างนายเชียรช่วง กัลยาณมิตร ทำประชาสัมพันธ์เป็นเอกสารลับเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยกรณีที่สมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชาได้ตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเริ่มแรกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รมว.มหาดไทย ประกาศชัดว่าเป็นเรื่องของประเทศกัมพูชา แต่ก็มาปรับทัพใช้วิธีเดินเกมปลุกลัทธิชาตินิยมคลั่งชาติ รวมทั้งมีการใช้ผลเอแบคโพลล์แสดงถึงความนิยมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่สูงขึ้น 3 เท่า ซึ่งล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น จึงเรียกร้องให้ผู้บริหารเอแบคโพลล์ได้สอบสวนนายนพดล กรรณิการ์ ผอ.สำนักเอแบคโพลล์ โดยแจกแจงข้อมูลดิบว่ามีความเป็นมาอย่างไรด้วย เพราะเชื่อว่าเป็นผลโพลล์ที่จ้องทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณ และหากมีคะแนนนิยมถึง 70 เปอร์เซ็นต์ตามที่โพลล์สำรวจออกมา ขอท้านายอภิสิทธิ์ให้ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ไปเลย ที่ไม่ยุบสภาเป็นเพราะรู้ว่าเป็นโพลล์หลอกหรือไม่

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีที่ไทมส์ออนไลน์ลงข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ จาบจ้วงสถาบันว่า ถือเป็นการลงข่าวที่บิดเบือน เพราะข้อเท็จจริง มีการดำเนินการจากคน 2 คน โดยคนแรก เป็นสามี ส.ส.พรรครัฐบาล ที่เป็นประธานบอร์ดรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง และอีกคนคือโทรโข่งรัฐบาลที่ได้เดินทางไปนิวยอร์ค สหรัฐฯ เพื่อวางแผนเจรจากับสื่อมวลชนคนนั้นก่อนที่จะมีการสัมภาษณ์ดังกล่าว จึงขอเรียกร้องให้นิตยสารไทมส์ที่อ้างว่าเป็นนิตยสารระดับโลกต้องสอบสวนสื่อมวชนที่สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะจงใจบิดเบือนและสอดรับกับกรณีของกัมพูชา มีการเซทอัพ จัดฉาก รวมทั้งนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศที่รับลูกเรื่องนี้ทันที ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณโดนใช้เป็นเหยื่อเพื่อกลบเกลื่อนความล้มเหลวของการทำงานของรัฐบาล

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ขอท้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ให้ยกเลิกเอ็มโอยูที่ได้ทำกับกัมพูชา สมัยที่นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นรมว.ต่างประเทศ วันนี้นายสุรเกียรติ์มุดหัวอยู่ที่ไหน ถ้าหากไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนขายชาติขอให้นายสุรเกียรติออกมาชี้แจงว่าพื้นที่ทับซ้อนจากการทำเอ็มโอยูประเทศชาติเสียประโยชน์อย่างไร และที่พรรคประชิปัตย์ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับผลประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อนก็ให้แสดงออกมา เพราะการพูดเช่นนี้เป็นการทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณ ระยะสั้นเท่านั้น มีอะไรก็ให้แสดงออกมา ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีซักสตางค์แดงเดียวที่ลงทุนในกัมพูชา ตรงกันข้ามกับเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่ขายชาติ เสียดินแดน เพราะดูได้จากบันทึกความเข้าใจที่ทำกับกัมพูชา โดยมี ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็นรมว.ต่างประเทศ ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เมื่อปี 2543 ที่ไปยึดแผนที่ฝรั่งเศสที่เป็นเจ้าอาณานิคมของกัมพูชา ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน เรื่องนี้ไปถามทหารจะรู้เรื่องดี

“บรรพบุรุษของพรรคประชาธิปัตย์ทำให้เสียดินแดนมาตั้งแต่ต้น แต่วันนี้มาปลุกกระแสคลั่งชาติ เริ่มตั้งแต่นายควง อภัยวงศ์ ที่ก่อตั้งพรรค ซึ่งเกิดที่พระตะบอง แล้วอพยพมาอยู่ที่ปราจีนบุรี ขณะที่ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็เป็นทนายว่าความจนประเทศไทยเสียปราสาทเขาพระวิหาร จนมารัฐบาลนายชวน ก็ทำบันทึกความเข้าใจจนเสียค่าโง่และเสียดินแดน และล่าสุดมาถึงนายอภิสิทธิ์ ที่แม้จะเกิดและเรียนที่อังกฤษ แต่บรรพบุรุษเป็นคนเวีดนาม การที่มาปลุกกระแสคลั่งชาติและร้องเพลงหนักแผ่นดิน ใครกันแน่ที่จะเป็นคนหนักแผ่นดิน หากปลุกกระแสคลั่งชาติผมก็จะปลุกบ้าง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”นายจตุพร กล่าว

ซัดปชป.รวมหัว“ไทมส์”ถล่ม“ทักษิณ” ยันนายใหญ่ไม่คิดทรยศชาติ เปรียบนเรศวร

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงบทสัมภาษณ์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในไทมส์ออนไลน์ว่า พรรคประชาธิปัตย์น่าจะเป็นผู้บิดเบือนเรื่องนี้ เพราะรู้กันดีกับไทมส์ออนไลน์ เนื่องจากเป็นของประเทศอังกฤษ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็จบจากที่นั่น และเว็บไซต์ดังกล่าวก็เคยลงรูปสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ อีกทั้งคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณอาจถูกบิดเบือนเนื่องจากฟังไม่เข้าใจแล้วแปลความผิด เรื่องนี้เป็นประเด็นที่เข้าทางพรรคประชาธิปัตย์ที่นำมาเป็นประเด็นการเมือง เหมือนสมัยที่พ.ต.ท.ทักษิณใส่รองเท้าเข้าวัดพระแก้ว สำหรับกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณไปเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้รัฐบาลกัมพูชานั้น ส่วนตัวเห็นด้วยอย่างยิ่ง ท่านไม่ทำร้ายประเทศไทยแน่ แต่จะเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต เพราะถ้ากัมพูชาเศรษฐกิจดีขึ้นก็จะมาซื้อสินค้าในประเทศไทยมากขึ้น

“ไปหาว่าท่านทรยศชาติได้อย่างไร ตัวอย่างเช่นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถูกพม่าจับตัวไปเลี้ยงไว้และไปเรียนวิชา พม่า สุดท้ายก็กลับมากู้ประเทศทำไมไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้บ้าง คิดแต่ว่าอดีตนายกฯจะทรยศชาติ บ้าหรือเปล่า ผมจะเดินทางไปหาท่านในวันพรุ่งนี้ แต่ก็ทราบว่ามีส.ส.บางคนเดินทางไปวันนี้แล้ว”นายสุรพงษ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยรวมทั้งสมาชิกบ้านเลขที่ 111 บาง ส่วน ไม่เห็นด้วยที่พ.ต.ท.ทักษิณจะไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้รัฐบาล กัมพูชา นายสุรพงษ์ กล่าวว่า นานาจิตตัง ส่วนผลโพลล์ที่กังวลกันนั้น ตนไม่เคยให้ความเชื่อถือทั้งเอแบคโพลล์ และสวนดุสิตโพลล์ เพราะสำรวจผิดพลาดเสมอ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อครั้งเลือกตั้ง 23 ธ.ค. 2550 ที่ระบุว่าพรรคพลังประชาชนจะได้คะแนนน้อย แต่ปรากฏว่าพรรคพลังประชาชนได้เสียงข้างมากจนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

มาจาก http://thainsider.info

"ทักษิณ" ถึงกัมพูชาแล้ว



อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางถึงกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาสั่งทหาร-ตำรวจ รักษาความปลอดภัยเข้มแข็ง นักธุรกิจกัมพูชา 300 คน ตอบรับฟัง "ทักษิณ" บรรยาย AFP ตีข่าวเรื่องนี้ไปทั่วโลก

ด้านนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่งกระทรวงการต่างประเทศส่งเรื่องขอตัวกลับไทยทันที และยังย้ำอีกว่าจะไม่เลิกล่า "ทักษิณ" พร้อมกับเตือนกัมพูชาว่า "ถ้าคิดจะป่วนขอให้บอก จะได้เตรียมวิธีอื่นไว้จัดการ" และขณะนี้ได้ให้ความเห็นชอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำหนังสือขอตัว "ทักษิณ" จากกัมพูชาแล้ว

จากคำให้สัมภาษณ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดว่าประเทศไทยพร้อมแล้วใช่หรือไม่ ที่จะต้ดความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ถึงได้ออกมาพูดจาทำนองข่มขู่เช่นนั้น

ท่านคงลืมไปแล้วว่า เคยมีกรณีต่างชาติแต่งตั้งคนไทยเป็นที่ปรึกษามาแล้วหลายครั้ง ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าภาคภูมิใจที่ประเทศเหล่านั้นเห็นความสามารถของคนไทย จึงเลือกเป็นที่ปรึกษาในศาสตร์แขนงต่างๆ

ส่วนกรณีที่ "ทักษิณ" ถูกดำเนินคดีข้อหาที่ดินรัชดา มีโทษจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา กรณีนี้นานาชาติไม่ถือเป็นความผิด และไม่ได้มีประเทศกัมพูชาเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่ใช้กฏหมายแบบเดียวกันนี้

เพราะฉะนั้นการที่รัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้ง "ทักษิณ" เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จฮุนเซน เข้าใจว่า คงผ่านการตรวจสอบจากหลายฝ่ายอย่างรอบคอบแล้ว ว่า "สนธิสัญญาที่ทำไว้กับไทยไม่เข้าข่ายต้องส่งตัว "ทักษิณ" ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน"

และสิ่งที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ประเทศกัมพูชาปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของไทย เพราะฉะนั้นการจะไปบีบบังคับข่มขู่เพราะเห็นเป็นประเทศที่ด้อยกว่า จึงถือเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เทพไท แถลง TIME ทักษิณหมิ่นเบื้องสูง



เทพไทยแถลง TIME ตีแผ่คำสัมภาษณ์ "ทักษิณ" หมิ่นเบื้องสูงรุนแรง จี้ความมั่นคงฟัน

หลังจากมีข่าว นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวนายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์นิตยสาร THE TIME ซึ่งเป็นนิตยสารชั้นนำของอังกฤษว่า "ทักษิณ" หมิ่นเบื้องสูงอย่างรุนแรง และขณะนี้ได้จี้หน่วยงานความมั่นคงในไทยจัดการ

อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร แถลงโต้ THE TIME ว่าสื่ออังกฤษบิดเบือน ยืนยัน "จงรักภักดีต่อสถาบันเหนือสิ่งอื่นใด" และยังยืนยันอีกว่า ในวันพรุ่งนี้ (10 พฤศจิกายน) จะเดือนทางมา "กัมพูชา" แน่นอน

สุเทพ ขู่ถ้าให้ทักษิณพบคนไทยที่ตลาดโรงเกลือ จะตอบโต้กัมพูชารุนแรง



หลังจากสื่อนอกตีข่าวสมเด็จฮุนเซนแห่งกัมพูชาออกมาให้สัมภาษณ์ว่าอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร จะเดินทางมาเขมร ในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "หากกัมพูชาอนุญาตให้ทักษิณพบคนไทยที่ตลาดโรงเกลือ รัฐบาลจะยกระดับการตอบโต้อย่างรุนแรง"

คงมีคนไทยและต่างชาติจำนวนไม่น้อยสงสัยว่าการที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ห้ามไม่ให้คนไทยพบ อดีตนนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ตลาดโรงเกลือ เป็นเพราะเหตุใด "ทักษิณ" ทำผิดร้ายแรงแค่ไหน เหตุเพราะแม้นักโทษประหาร ยังได้รับอนุญาตให้ญาติพี่น้องเยี่ยมเยือน

และที่สำคัญการให้สัมภาษณ์ทำนองนี้เท่ากับเป็นการข่มขู่กัมพูชา เหตุเพราะทางการกัมพูชาออกมาชี้แจงหลายครั้งแล้วว่า สนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา "ไม่ครอบคลุมกรณีนักโทษการเมือง"

ขอเตือนด้วยความเคารพ "ประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ คงทำงานหนักจนลืม เลยสำคัญไปว่า "เป็นรัฐบาลแล้วจะสามารถสั่งใครก็ได้ " โดยไม่คำนึงถึงการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นนั้น เหมาะสมหรือไม่? ประการใด? และหากทั่วโลกรู้เข้า จะคิดเช่นไรกับการปกครองในประเทศไทย?

และหากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กระทำเช่นนั้นจริง คงมีคนไทยนับล้านวิงวอนและอยากขอร้องว่า "อย่าพาพวกเขาเข้าสู่ระบอบเผด็จการ" นอกจากนั้นอาจถูกทั่วโลกประณามการบริหารจัดการในไทย "เพราะไม่เคยมีประเทศใดที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย กีดกันและล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคนในชาติมากอย่างที่ท่านประกาศและคิดจะดำเนินการอยู่ในขณะนี้"

อภิสิทธิ์พบแกนนำพันธมิตรฯ บอกจะนำข้อเสนอข้าที่ประชุม ครม. พรุ่งนี้

วันนี้ แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เดินทางเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นข้อเรียกร้อง 8 ข้อในการดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาดกับรัฐบาลกัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรีรับปากนำข้อเสนอดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันพรุ่งนี้(10พ.ย.)

นายพิภพ ธงไชย แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี รับพิจารณาข้อเสนอทั้ง 8 ข้อ และจะนำเข้าหารือในที่ประชุม ครม.วันพรุ่งนี้ โดยจะพิจารณาเป็นรายกรณีไป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและสายตาของนานาชาติ

สำหรับข้อเรียกร้องทั้ง 8 ข้อ ประกอบด้วย
1.ขอให้รัฐบาลยกเลิก MOU ปี 2543 ที่เริ่มต้นใช้แผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน เป็นครั้งแรก โดยที่ไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาอันอาจเป็นการขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2540 มาตรา 224

2.ขอให้ยกเลิก MOU ปี2544 และแถลงการณ์ร่วมฯ 2544 ที่รับรองเส้นเขตแดนทางทะเลที่ไม่ได้ยึกหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

3.ขอให้ประกาศยกเลิกแถลงการณ์ร่วมฯ ปี 2551 กับประเทศกัมพูชา คณะกรรมการมรดกโลก และองค์การยูเนสโก อย่างเป็นทางการโดยให้ยกเหตุผลมาจากคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ และคำสั่งศาลปกครองสูงสุด

4.ขอให้สมาชิกรัฐสภาได้ดำเนินการเพิกถอนมติรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ต.ค.51 ซึ่งเป็นมติที่ได้ยอมรับแผนที่ตามมาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนเป็นครั้งแรก อันนำไปสู่การสูญเสียดินแดนครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์,

5.ขอให้รัฐบาลแสดงความจริงใจยกเลิก TOR ปี 2546 เพราะได้อ้างอิงและใช้แผนที่ตามมาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน

6.ขอให้รัฐบาลได้ถอนเรื่องร่างข้อตกลงชั่วคราวปี 2546 ออกจากการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากรัฐสภา และหยุดนำผลการประชุมของ JBC ทั้ง 3 ครั้งให้ที่ประชุมสภาเห็นชอบ

7.ให้รัฐบาลและกองทัพบกดำเนินการปกป้องอธิปไตย โดยอาศัยกฏบัตรสหประชาชาติข้อ 51 และกฎอัยการศึก ทำการผลักดันชาวกัมพูชาที่รุกล้ำและยึดครองพร้อมด้ยสิ่งที่ปลูกสร้าง ให้ออกจากดินแดนไทยโดยไม่มีเงื่อนไข และ

8.ขอให้ยุติการให้ความช่วยเหลือทั้งในเรื่องของงบประมาณและโครงการต่างๆ ทั้งหมดกับกัมพูชา

นายพิภพ กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ จะติดตามความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางไปกัมพูชาในวันที่ 12 พ.ย.นี้ และบทบาทของสมเด็จฮุนเซนอย่างใกล้ชิด โดยยืนยันการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นการแสดงออกถึงความรักชาติไม่ใช่การคลั่งชาติ

นำพันธ์รับข้อเสนอ 8 ข้อ จัดการขั้นเด็ดขาดกับกัมพูชา นำเข้าประชุมพรุ่งนี้
ข่าวจาก www.thanonline.com

บทวิดคราะห์

การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะนำข้อเรียกร้องของ "แกนนำพันธมิตรฯ" เข้าที่ประชุม ครม.ในวันพรุ่งนี้ หลายฝ่ายคิดไปได้หลายแง่ว่า เพราะเหตุใดนายกจึงยอมทำตามคำสั่งหรือข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ อย่างเร่งด่วนปานนี้

แต่หากจะมองย้อนกลับไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหากไม่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ไม่มี นายกที่ชื่ออภิสิทธิ์ในวันนี้ เพราะฉะนั้นการทำตามความคิดเห็นของพวกพ้องจึงถือเป็นการตอบแทนบุญคุณ ซึ่งพรรคที่มีความกตัญญูอย่าง "ประชาธิปัตย์" ย่อมถือเป็นเรื่องที่ดีและอาจถูกใจหลายฝ่าย แต่ก็มีอีกหลายฝ่ายมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง

และหากบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลคล้อยตามข้อเสนอดังกล่าว ประเทศไทยคงต้องตกอยู่ภายใต้การชี้นำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างไม่ต้องสงสัย

ในวันพรุ่งนี้หลายฝ่ายจึงต้องจับตามองว่า "พรรคประชาธิปัตย์และบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล จะยอมทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือไม่ และด้วยเหตุผลใด"

หากเป็นเช่นนั้นจริง คงได้แต่ปลงว่า "อนิจจา คนไทยทั้งชาติไม่เว้นแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาล ยอมให้ผู้ก่อการดี ที่ปิดล้อมยึดทำเนียบรัฐบาล และสถานที่สำคัญอีกหลายแห่ง รวมทั้งยึดสนามบินนานาชาติ จนได้นายกที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ชาวต่างชาติมองว่าเป็น "ผู้ก่อการร้าย" มามีอำนาจชี้นำประเทศไทยแล้วกระนั้นหรือ?

จีน เวียดนาม เกาหลีใต้ เตรียมส้มหล่น หากไทยปิดพรมแดน



คงเป็นเรื่องน่าเสียดาย หากประเทศไทยต้องปิดพรมแดน จากกรณีที่รัฐบาลไทยไม่พอใจกัมพูชา ที่แต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จฮุนเซน

หลายฝ่ายมองว่าเป็นการล่วงละเมิดกิจการภายในของกัมพูชา แต่รัฐบาลไทยภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ มองว่าเป็นการไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมในไทย ซึ่งเรื่องนี้ยังเป็นที่กังขาของคนไทยและต่างประเทศ นับตั้งแต่ "ทักษิณ ชินวัตร" ถูกยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยา

และหากมีการปิดพรมแดน การค้าขายตามแนวชายแดนก็ต้องหยุดชะงักอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งคนไทยและกัมพูชากระทบกระเทือนถ้วนหน้าทั้งในเรื่องรายได้และปากท้อง แต่กัมพูชาคงไม่หนักหนาสาหัสเท่าไทย เพราะสามารถหันไปพึ่งพา จีน เวียดนามและเกาหลีใต้ ซึ่งรอขายสินค้าให้กัมพูชาอย่างใจจดใจจ่อ และในปีที่แล้ว ประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้ากว่า " หกหมื่นล้านบาท"

อยากเตือนรัฐบาลว่า การกระทำดังกล่าว ประเทศชาติสูญเสียผลประโยชน์อย่างมหาศาล คุ้มกันหรือไม่กับการที่ท่านได้รับความสะใจในชัยชนะ ขณะที่ประชาชนคนในชาติเดือดร้อนอย่างแสนสาหันกับการบริหารบ้านเมืองแบบ "ชัยชนะเท่านั้นที่ประชาธิปัตย์ต้องการ" โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบอื่นๆ ที่กำลังจะตามมา

คงมีคนไทยจำนวนไม่น้อยสงสัยต่อไปอีกว่า "ความคิดนี้เป็นของรัฐบาล หรือว่าเป็นของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ซึ่งเข้าไปพบนายกรัฐมนตรีในเช้าวันนี้

สงสัยหรือไม่ว่า เพราะเหตุใดนายอภิสิทธิ์จึงเลือกปรึกษา พันธมิตรฯ กรณีกัมพูชา



มีคนจำนวนไม่น้อยสงสัยว่าเพราะเหตุใด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงไม่ปรึกษาพรรคร่วมรัฐบาล ทหาร ตำรวจซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโดยการในการปกป้องประเทศชาติและประชาชน แต่กลับเลือกที่จะปรึกษา "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ในวันที่ 9 พฤศจิกายน "ที่ทำเนียบรัฐบาล" ในกรณีความบาดหมางระหว่างไทยกับกัมพูชา

หากจะมองไปในทางที่ดี อาจเป็นเพราะเกรงใจแกนนำพรรคร่วมฯ ซึ่งแต่ละท่านรับผิดชอบงานล้นมือ แต่หากมองในทางกลับกัน คิดได้ว่านายกอภิสิทธิ์ เห็นความสำคัญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิไตย มากกว่าพรรคร่วมรัฐบาล เพราะถึงแม้พรรคร่วมฯ จะมีส่วนสำคัญทำให้พรรคประชาธิปัตย์สามารถบริหารประเทศชาติได้ แต่เมื่อถึงกรณีสำคัญกลับพึ่งพา "พันธมิตรฯ" ในการบริหารจัดการบ้านเมือง โดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน

หากผลการปรึกษาหารือระหว่างพันธมิตรฯ และนายอภิสิทธิ์ออกมาว่า นายกสั่งให้เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจตามแนวชายแดน "เตรียมตัวรบ" คงมีคนไทยจำนวนไม่น้อยสงสัยว่าเป็นความคิดของใคร ระหว่างนายกฯ อภิสิทธิ์ หรือแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งมีคดีติดตัวมากมาย และหากมีการตัดสินตามกระบวนการยุติธรรมสากลเชื่อแน่ว่า "ท่านผู้ก่อการดีทั้ง 5 ในสายตาพลพรรคประชาธิปัตย์" มีหวังเข้าซังเตอย่างไม่มีปัญหา

นายกอภิสิทธิ์เปิด "ทำเนียบฯ" ต้อนรับแกนนำพันธมิตรฯ




ในวันที่ 9 พฤศจิกายน เวลา 08.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเปิด "ทำเนียบรัฐบาล" ต้อนรับ 5 แกนนำพันธมิตรฯ เพื่อรับทราบนโยบายตอบโต้กัมพูชา

นับตั้งแต่ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" บุกยึดทำเนียบรัฐบาลเมื่อปลายปี 2551 ก็ไม่ได้รับเกียรติเข้าไปที่นั่นอีก กระทั่งมีข่าวว่าในวันพรุ่งนี้ เวลา 08.30 น. รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ จะเปิดทำเนียบฯ ต้อนรับ 5 แกนนำพันธมิตรฯ กลุ่มคนที่ทั่วโลกขนานนามว่า "ผู้ก่อการร้าย" แต่กลุ่มคนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน "พรรคประชาธิปัตย์" เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ

คงมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกเจ็บปวดกับข่าวนี้ และคงมีชาวต่างชาติสงสัยว่า "ผู้ก่อการร้ายบุกยึดสถานที่ราชการและสถานบินนานาชาติ" เหตุใดถึงได้รับเกียรติอย่างสูงจากรัฐบาลไทยเช่นนั้น

แต่หากจะมองย้อนกลับไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เหตุเพราะว่า "ถ้าไม่มีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ไม่มีรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์" ตามที่รู้ๆ กันอยู่จากผลงานของพันธมิตรฯ ที่ผ่านสายตาสื่อทั่วโลก แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะกล้าเปิด "ทำเนียบฯ" ต้อนรับ "ผู้ก่อการร้าย" โดยไม่เกรงกลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากต่างชาติเช่นนี้

จริงอยู่ "รัฐบาลเทพประทานมีกองหนุนจำนวนมาก" ทั้งเหล่าอำมาตย์ ทหาร นักวิชาการ ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง องค์กรอิสระ และสื่อสายพันธมิตรฯ ที่พากันได้ดิบได้ดีหลังจาก คมช. ยึดอำนาจ และพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลเป็นผลสำเร็จ

หากแต่นายอภิสิทธิ์คงลืมไปแล้วว่ายังมีคนไทยจำนวนไม่น้อยและนานาชาติ คอยจับตาดูว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินการอย่างไรกับ "ผู้ก่อการร้าย" ที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายนับแสนล้าน

หากนายอภิสิทธ์ยังดื้อดึงที่จะกระทำการนั้น บอกได้เลยว่า ท่านคือผู้ที่ทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมไทยจนไม่มีเหลือ เหตุเพราะท่านได้ยืนยันด้วยการกระทำว่า "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" คือผู้ทรงเกียรติควรได้รับการยกย่องเป็นผู้ก่อนการดีของชาติ ซึ่งสวนทางกับนานาชาติและคนไทยอีกจำนวนหนึ่งอย่างสิ้นเชิง

ขอเตือนด้วยความเป็นห่วงในฐานะคนไทยคนหนึ่ง อยากให้นายอภิสิทธิ์ลองกลับไปคิดทบทวนดูอีกครั้งว่า "สมควรแล้วหรือ" ที่ท่านจะเปิดทำเนียบรัฐบาลอันทรวงเกียรติต้อนรับ "ผู้ก่อการร้าย" ในสายตาคนทั้งโลกเพื่อตอบแทนบุญคุณคนเหล่านั้นซึ่งช่วยผลักดันให้ท่านมีวันนี้ โดยเอาประเทศชาติและประชาชนเป็นเดิมพัน

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นายกยันตอบโต้กัมพูชาเพื่อรักษาศักดิ์ศรีชาติ


นายกฯยันตอบโต้ทางการทูตกับกัมพูชา เพื่อรักษาศักดิ์ศรี,ผลประโยชน์ชาติ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯ อภิสิทธิ์ ถึงการตอบโต้ทางการทูตกับกัมพูชา ว่า เนื่องจากกัมพูชาออกแถลงการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งเป็นสถาบันหลักของไทย เป็นเรื่องที่คนไทยยอมรับไม่ได้ นอกจากนี้ การตั้งพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ยังจะส่งผลกระทบโดยตรงในการเจรจาผลประโยชน์ทางทะเล ระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วย รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนทางการทูต เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจ รวมถึงจะหยุดเดินหน้าเจรจาความตกลงร่วมกัน เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียเปรียบ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว เพื่อรักษาศักดิ์ศรี และปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยและคนไทย
ที่มา www.ryt9.com

บทวิเคราะห์

คงมีคนจำนวนไม่น้อยทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อยากรู้เป็นกำลังว่า จากการที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ดำเนินการกับประเทศกัมพูชา ประเทศเพื่อนบ้านเก่าแก่ของไทยนั้น ประเทศชาติและประชาชนคนไทยได้อะไร? ได้มากกว่าเสีย หรือเสียมากกว่าได้ และได้เสียอย่างไร?

เพราะนอกจาก "นายอภิสิทธิ์และบรรดาพลพรรค" ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อทำนองว่าเพื่อรักษาศักดิ์ศรีกระบวนการยุติธรรมของไทยและผลประโยชน์ชาติแล้ว ประชาชนคนไทยที่ถูกนายอภิสิทธิ์กล่าวอ้าง ยังไม่รู้เลยว่า "รักษาประโยชน์ชาติตรงไหน และรักษาศักดิ์ศรีของใครกันแน่"

ระหว่างของพลพรรคประชาธิปัตย์และพวกพ้อง หรือประชาชนคนในชาติ แต่ที่แน่ๆ ตามแนวชายแดนซึ่งเคยอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ตอนนี้ต้องอยู่แบบอกสั่นขวัญหาย "การค้าการขายที่เคยไปได้ด้วยดี อาจมีอันต้องชะงัก" ส่งผลกระทบต่อปากท้องพี่น้องประชาชนคนในชาตินับหมื่นนับพันครอบครัว เพราะคำว่า "เพื่อศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของประเทศไทยและคนไทย" ที่รัฐบาลและพวกพ้องยกขึ้นมากล่าวอ้างรายวัน ทั้งที่มีคนในชาติจำนวนมากไม่เห็นด้วย

ส่วนเรื่องกระบวนการยุติธรรมของไทย ขณะนี้มีคนไทยจำนวนไม่น้อยออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วทั้งในประเทศและต่างประเทศ นับตั้งแต่มีการตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน คดีอดีตนายกสมัคร สุนทรเวช ทำอาหารออกทีวีจนมีอันกระเด็นตกเก้าอี้ เหตุเพราะคดีนี้ต่างชาติถือเป็นเรื่องตลก และยังมีคดีอดีตนายกสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่ที่ทำให้คนไทยและทั่วโลกกังขามากที่สุด ก็คือคดี "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ปิดล้อมสถานที่ราชการและสนามบินนานาชาติ แต่จนถึงบัดนี้คดียังไม่มีความคืบหน้า

และคงเพราะประเด็นนี้เอง ที่ทำให้คนไทยและต่างชาติกังขากระบวนการยุติธรรมของไทย

รัฐบาลประกาศยกเลิกบันทึกความเข้าใจ ไทย-กัมพูชา



ฉีกสัญญาแบ่งขุมทรัพย์ทักษิน-ฮุนเซน

การประกาศขอยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (Memo randum of Understanding หรือ (เอ็มโอยู) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2544 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นปฏิบัติการตอบโต้ทางการทูตขั้นตอนที่ 3 จากทั้งหมด 5 ขั้นตอนของกระทรวงการต่างประเทศ
หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์/ryt9.com

บทวิเคราะห์

จากการประกาศยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (Memo randum of Understanding หรือ (เอ็มโอยู) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2544 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ทำไปเพราะเห็นว่าประเทศไทยเสียเปรียบกัมพูชา หรือเพื่อความสะใจและต้องการประกาศให้นานาชาติรู้ว่า "หากไทยเอาจริง กัมพูชาจะต้องยอมแพ้" หากคิดเช่นนั้น "ก็ถือเป็นการบังคับข่มขู่สมเด็จฮุนเซน แห่งกัมพูชา" ทั้งทางตรงและทางอ้อม

รัฐบาลไทยอาจลืมคิดไปว่า "กัมพูชาไม่ใช่เมืองขึ้นของไทย" แต่เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีศักดิ์ศรีและปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย

การที่สมเด็จฮุนเซน ไม่ถือสาหาความ "นายกษิต ภิรมย์" ครั้งขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ต่อว่าท่านอย่างคึกคะนองก็ถือเป็นการให้เกียรติไทยอย่างยิ่ง และที่สำคัญท่านไม่คิดที่จะก้าวก่ายการบริหารจัดการภายในของประเทศเพื่อนบ้าน แต่ไทยกลับไม่คำนึ่งถึงเหตุผลข้อนี้ แต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศและยังดำรงตำแหน่งจนถึงปัจจุบัน

หากกัมพูชาจะถือประเด็นนี้ดำเนินการอะไรสักอย่าง เหมือนดั่งที่ไทยกำลังทำกับกัมพูชาอยู่ขณะนี้ คงมีหลายคนและอีกหลายประเทศในอาเซียนเห็นด้วย เหตุเพระ "คงไม่มีประชาชนประเทศใด ยอมให้รัฐมนตรีต่างชาติดูถูกผู้นำของตนได้ขนาดนั้น" โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกัน

อยากสะกิดให้คิดอีกครั้งด้วยความหวังดีในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ว่าการที่รัฐบาลไทยยกเลิกบันทึกข้อตกลงดังกล่าว สมเหตุสมผลหรือไม่? จากการกระทำนั้น ไทยเสียประโยชน์อะไรบ้าง? หรือทำไปเพียงเพราะประการเดียว คือขอให้สมเด็จฮุนเซน แห่งกัมพูชา ยอมศิโรราบ และรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์เป็นฝ่ายชนะ

หรือเพราะเกรงว่ากัมพูชาจะเจริญก้าวหน้ากว่าไทย เหตุเพราะอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เจ้าของนโยบาบ "ทักณิโฌมิก" ของแท้ไม่ใช่ลอกเลียนแบบแล้วเปลี่ยนชื่อโครงการไปเป็นที่ปรึกษาให้กัมพูชา ซึ่งเรื่องนี้มีคนจำนวนไม่น้อยออกมาวิพากษ์วิจารณ์ "หากเทียบฝีมือระหว่างทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์และไทยรักไทยภายใต้การนำของ ทักษิณ" หากคนผู้นั้นตอบอย่างไม่เสแสร้ง ประชาชนคนไทยพูดได้เลยว่า "อภิสิทธิ์เป็นลองทักษิณอยู่หลายขุม"
และอีกประการหนึ่งหลายคนคิดว่า การที่นายอภิสิทธิ์ยอมให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาแย่ลงกว่าเดิม เป็นอย่างที่ทักษิณเคยพูดไว้ นั่นคือ "ต้องการฆ่าหนูตัวเดียวจุดไฟเผาทั้งป่าหรือเผาทั้งบ้าน"

หากรัฐบาลใจกว้างสักนิดลองคิดในมุมกลับว่า "หากสมเด็จฮุนเซน แห่งกัมพูชาไม่ยอมตัดสัมพันธ์กับทักษิณ" ไทยจะทำอย่างไรต่อไป ยอมเสียเพื่อนบ้านและโทษเป็นความผิดทักษิณ หรือว่าจะโทษความเขลาของรัฐบาลเองที่แต่งตั้งนายกษิต ภรมย์ "ผู้ก่อการร้ายในสายตาชาวโลก" ซ้ำยังขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ด่าว่าสมเด็ตจฮุนเซนสาดเสียเทเสีย จึงพาให้ความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศอยู่ในสภาพย่ำแย่ประชาชนเดือดร้อนอย่างที่เห็น

รัฐบาลคิดบ้างหรือไม่ว่า หากภาพที่ "นายกษิต ภิรมย์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ขึ้นเวทีด่าว่าผู้นำต่างชาติโดยไม่คำนึงถึงมารยาท เผยแพร่ไปสู่สายตาผู้นำประเทศต่างๆ เขาจะคิดว่าใครคือชนวนแห่งความขัดแย้ง? และหากมีภาพคนของพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม หรือเป็นแกนนำร่วมด้วยช่วยกันกับนายกษิตและบรรดาสาวกพันธมิตรฯ เขาจะคิดเช่นไร? และ จะเกิดอะไรขึ้น?

ขอเตือนด้วยความเคารพและห่วงใยประเทศชาติ

หากประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศต่างๆ ทั่วโลกเห็นภาพเหล่านั้น พวกเขาจะเห็นรัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ชอบธรรมอยู่หรือไม่? หรือมองว่าไทยรังแกประเทศที่ด้อยกว่า? จึงแต่งตั้งรัฐมนตรีปากกล้า หยาบหยามผู้นำประเทศเพื่อนบ้านและก้าวก่ายการบริหารจัดการภายในของกัมพูชา? หรืออาจจะมองว่าประเทศไทยไม่มีความจริงใจกับกัมพูชา ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง? กลายเป็นว่ารัฐบาลชุดนี้คบไม่ได้ในสายตานานาชาติ

หากเป็นเช่นนั้นจริง เพื่อนสมาชิกอาเซียนจะหันไปช่วยเหลือประเทศใดระหว่างไทยกับกัมพูชา?

เทพไท แนะเพื่อไทยควรเปลี่ยนชื่อเป็น "เพื่อเขมร"




นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวนายกรัฐมนตรี แนะ "เพื่อไทย" ควรเปลี่ยนชื่อเป็น "พรรคเพื่อเขมร" นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไล่ทักษิณ นพดลเปลี่ยนสัญชาติ

คงมีหลายคนสงสัยว่านายเทพ เสนพงศ์ และนายอลงกรณ์ พลบุตร เป็นใคร ยิ่งใหญ่มาจากไหน สำคัญอบ่างไร เป็นเจ้าของประเทศไทยหรือไม่ ถึงอ้างตนเป็นผู้แทนคนทั้งประเทศ ขับไล่คนไทย 2 คน คือ อดีตนายกทักษิณ ชินวัตรและนายนพดล ปัมทะ ให้เปลี่ยนสัญชาติ รวมทั้งแนะให้ พรรคเพื่อไทย เปลี่ยนชื่อเป็น "พรรคเพื่อเขรม"อีกด้วย

ท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคงลืมไปแล้วว่า "สมาชิกพรรคเพื่อไทยทั้งประเทศมีจำนวนไม่น้อย" การที่ท่านออกมาให้สัมภาษณ์โดยไม่คำนึ่งถึงความรู้สึกสมาชิกคนอื่นๆ นั้นถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ หรือว่าเป็นการสร้างความแตกแยกให้คนในชาติมากขึ้นโดยใช้สื่อของรัฐบาลที่มีอยู่ในมือเป็นกระบอกเสียง

หรือท่านคิดว่าเป็นรัฐบาลคุมสื่อและมีผู้ช่วยล้นเหลือ "เป็นรัฐบาลเทพประทาน" แล้วจะสามารถพูดจาหรือทำอะไรก็ได้โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกคนไทยอีกจำนวนหนึ่ง

หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่า จากกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาเป็นรัฐบาลแบบเหนือเมฆ จึงทำให้ไม่เกรงกลัวผลและแรงเสียงทานใดๆ ซ้ำบรรดาโฆษก นักวิชาการ สื่อสายพันธมิตรฯ และ ส.ว. ลากตั้ง ยังออกมาให้สัมภาษ์รายวันอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม จึงที่ทำให้ประเทศชาติแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากขึ้น

มีคนจำนวนไม่น้อยมองว่า "รัฐบาลขาดความจริงใจในการแก้ปัญหา" ทั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศนโยบาย มุ่งเน้นความสามัคคีของคนในชาติเป็นนโยบายหลัก หากแต่เมื่อมองย้อนกลับไป นับจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก้าวเข้ามา บริหารประเทศ ความแตกแยกของคนในชาติกลับทวีความรุนแรงขึ้นและร้าวลึกมากกว่าเดิม ความสามัคคีของคนในชาติเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้ง ที่รัฐบาลพร่ำพูดเพียงลมปาก ซ้ำร้ายยังรุกรามบานปลายไปยังประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีความเห็นแตกต่างกับตนและพวกพ้องอีกด้วย

ส่วนกรณีที่ให้ "พรรคเพื่อไทย เปลี่ยนเป็นพรรคเพื่อเขมร" นั้น สมาชิกพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางและชาวชนบทซึ่งรู้จักกันดีในนาม "คนรากหญ้า" เขาเหล่านั้นไม่มีสื่อ ไม่มีปาก มีเสียง มากพอที่จะสามารถสู้สื่อของรัฐบาลได้ แต่จากกรณีที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ออกมาให้สัมภาษณ์ ชาวรากหญ้าไม่มีสื่อสารมวลชนอยู่ในมือ คงมีแต่เพียงข้าวของพื้นเมืองไว้รอต้อนรับรัฐบาลในยามลงพื้นที่อย่างใจจดใจจ่อ

และจากการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว นับแต่นี้คนของพรรคประชาธิปัตย์คงลงพื้นที่ลำบาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัดซึ่งมีคนของพรรคเพื่อไทยอยู่เป็นจำนวนมาก คนเหล่านั้นคงไม่วางเฉย ปล่อยให้รัฐบาลเทพประทานซึ่งอ้างตัวเป็นเจ้าของประเทศ ทั้งที่จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. น้อยกว่าพรรคเพื่อไทยเกือบครึ่ง ไล่พวกเขาให้เปลี่ยนสัญชาติไปเป็นเขมรแล้วลอยนวลอยู่อย่างสงบสุข

ถึงแม้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะใช้งบประมาณโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นเงินจำนวนมหาศาลมากกว่ารัฐบาลชุดอื่นๆ เพื่อเสนอผลงานให้ประชาชนรับรู้ แต่จากกรณีการออกมาให้สัมภาษณดังกล่าวคงสร้างความไม่พอใจกับ "สมาชิกพรรคเพื่อไทย" มิใช่น้อย

เพราะพวกเขาคิดว่ารัฐใช้อำนาจบิดเบีบยข้อมูลข้อสาร ยดตัวอย่างกรณี ปิดสถานีวิทยุหลายแห่ง สื่ออินเทอร์เน็ต ถอดถอนรายการโทรทัศน์ สื่อดาวเทียมของคนเสื้อแดง โดยให้เหตุผลว่าเป็นกระบอกเสียงของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และพยายามลากยาวไปว่าเป็นกลุ่ม "ล้มเจ้า" แทนที่ประเทศชาติจะสามัคคีสงบสุขเหมือนอดีตที่ผ่านมา กลับจะกลายเป็นตรงกันข้าม โดยที่ รัฐบาลท่านเจตนาให้เป็นไป หรือมองไม่เห็นความจริงข้อนี้ "เพราะความอดติ บิดเบือน และต้องการอำนาจไว้ในมือ" โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกประชาชนกันแน่

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา ขึ้นอยู่กับ "ทักษิณ" คนเดียวจริงหรือ



จากกรณีที่มีสื่อหลายแขนงและนักวิชาการบางกลุ่มออกมาโจมตีและพยายามเชื่อมโยงกรณีสมเด็ดฮุนเซนแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและที่ปรึกษาส่วนตัว ว่ากระทบคนไทยทั้งชาตินั้น

ผู้ออกมาให้สัมภาษณ์ สื่อและนักวิชาการท่านนั้นคงลืมไปแล้วว่า สื่อและกลุ่มคนที่มีความรู้เพียงไม่กี่คน ไม่สามารถแอบอ้างตัวเองเป็นผู้แทนคนไทยทั้งประเทศได้ เพราะยังมีคนไทยบางกลุ่มโดยเฉพาะคนเสื้อแดงที่รักและศรัทธาในตัว "ทักษิณ" และขณะนี้ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

มั่นใจถึงขนาด พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ออกมาท้าทายนายอภิสิทธิ์และพลพรรคประชาธิปัตย์ให้ยุบสภา จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพราะมั่นใจในพลังประชาชนที่รักและรอคอยการกลับมาของ นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" และนโยบาย "ทักษิโณมิก" ของแท้ ไม่ใช่มีผู้แอบอ้างนำไปใช้เป็นนโยบายของตนโดยเปลี่ยนชื่อโครงการในยุคที่พรรคตนเป็นแกนนำรัฐบาล ว่าจะต้องได้รับความไว้วางใจจากคนไทยส่วนใหญ่ให้เข้าไปนั่งในสภาอย่างแน่นอน

จะว่าไปแล้ว ไทยและกัมพูชา เริ่มมีปัญหากันก่อนหน้านี้ เริ่มตั้งแต่การขึ้นทะเบียนประสาทเขาพระวิหาร และการที่นายอภิสิทธิ์แต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ ซึ่งรู้กันทั่วว่าเคยขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ด่าว่าสมเด็จฮุนเซนสาดเสียเทเสีย แต่นายอภิสิทธิ์ก็ยังแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งที่ตำแหน่งดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยตรง

หากสมเด็จฮุนเซนและชาวกัมพูชา มีจิตใจคับแคบไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ เห็นคนๆ เดียวสำคัญกว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ป่านนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาคงขาดสะบั้นแต่นั้น

แต่พอถึงกรณี "ทักษัณ" รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์กลับอ้างคนๆ เดียว ทำลายความสัมพันธ์นั้น หากมีการนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมอาเซียนหรือเวทีโลก "นายอภิสิทธิ์จะตอบพวกเขาว่าอย่างไร" ระหว่าง การแต่งตั้ง "ผู้ก่อการร้าย" ปิดสถานที่ราชการและสนามบินนานาชาติ ที่ทั่วโลกประณามแต่ไทยกลับยกย่องให้เป็นรัฐมนตรี กับกรณีอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกตัดสินเรื่องที่ดินรัชดา ซึ่งข้อหานี้ต่างชาติไม่ถือเป็นความผิด "ฝ่ายไหนจะมีความถูกต้อง ชอบธรรมและข้ออ้างสมเหตุสมผลมากกว่ากัน"

กรณีที่มีสื่อและนักวิชาการสายพันธมิตรฯ กล่าวอ้างว่าคนไทยทั้งประเทศไม่พอใจสมเด็จฮุนเซน คงมีคนไทยจำนวนไม่น้อยอยากจะบอกว่า "เป็นคำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จ" เพราะคนเสื้อแดงซึ่งเป็นคนยากคนจนเสียส่วนใหญ่ ไม่มีปากมีเสียงและไม่มีสื่ออยู่มือเช่นท่าน เขาได้ฝากมาบอกว่า "ท่านผู้มีความรู้และสื่อสารมวลชนทั้งหลายโปรดกรุณาอย่ายกตัวเองเป็นผูแทนคนไทยทั้งชาติ"

กต. ทบทวนความสัมพันธ์เขมร เรียกทูตกลับไทย



กระทรวงการต่างประเทศแถลงทบทวนความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เรียกทูตกลับ พร้อมทบทวนความร่วมมือทั้งหมด หลังตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษา

กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ ท่าทีของรัฐบาลไทยต่อกรณีรัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษา ดังนี้

ตามที่รัฐบาลกัมพูชาได้แต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา และที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และยืนยันที่จะไม่ส่งตัว พ.ต.ท. ทักษิณฯ ให้กับไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน หากได้รับการร้องขอนั้น กระทรวงการต่างประเทศขอแถลง ดังนี้

1. รัฐบาลได้ชี้แจงกับรัฐบาลกัมพูชาไปแล้วในโอกาสต่างๆ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ต้องอยู่เหนือความสัมพันธ์ส่วนบุคคล

2. การดำเนินการใด ๆ ของฝ่ายกัมพูชาเกี่ยวกับ พ.ต.ท. ทักษิณฯ ไม่สามารถแยกแยะออกจากความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศได้ และกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยทั้งชาติ เนื่องจาก พ.ต.ท. ทักษิณฯ เป็นผู้หลบหนีคดีอาญา และยังคงมีบทบาททางการเมืองในประเทศอยู่

3. การแต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณฯ เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาและที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทย และเป็นการปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมของไทย รวมทั้งทำให้ความสัมพันธ์และผลประโยชน์ส่วนบุคคลอยู่เหนือความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ

4. รัฐบาลไทยจึงนิ่งเฉยไม่ได้ และมีความจำเป็นจะต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั้งประเทศ การดำเนินมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลไทย ก็เพื่อจะให้ฝ่ายกัมพูชารับรู้ถึงความไม่พึงพอใจของประชาชนไทยทั้งปวง

5. จากการดำเนินการของรัฐบาลกัมพูชา ทำให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องทบทวนสถานะความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และดำเนินการ ดังนี้

5.1 เรียกเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กลับ

5.2 ทบทวนพันธกรณีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับฝ่ายกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา

5.3 ทบทวนความร่วมมือต่างๆที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการกับกัมพูชา ซึ่งการทบทวนนี้ รัฐบาลไทยจะกระทำด้วยความจำใจ เนื่องจากรัฐบาลไทยประสงค์มาโดยตลอดที่จะให้ความร่วมมือกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อพัฒนาการอยู่ดีกินดีของชาวกัมพูชา เพื่อลดช่องว่างของประชาชน และลดช่องว่างระหว่างกัมพูชากับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ
ข่าวจากกรุงเทพธุรกิจ/bangkokbiznews.com

บทวิเคราะห์

จากข่าวจะเห็นได้ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ พยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาบานปลาย โดยการนำเรื่องการแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร มาเป็นประเด็น

ทั้งที่ความจริงกรณีนี้ถือเป็นเรื่องส่วนตัว หากมาทบทวนกันแล้ว กรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ถือเป็นการไม่ไว้หน้ากัมพูชาอย่างแรงเช่นกัน เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่านายกษิต ภิรมย์ ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ด่าว่าสมเด็จฮุนเซนอย่างสาดเสียเทเสีย แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังดันทุรังแต่งตั้งทั้งที่กระทบกระเทือนความรู้สึกคนไทยทั้งประเทศอย่างรุนแรง

เพราะในสายตาคนไทยและชาวต่างชาติ นายกษิต ภิรมย์และพวก คือ "ผู้ก่อการร้าย" ที่บุกยึดสถานที่ราชการและสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้ประเทศชาติเสียหายนับแสนล้าน แต่กลับลอยนวลอยู่เหนือกฏหมาย และมีบางคนได้รับการปูนบำเหน็จจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อีกด้วย

หากจะว่าไปแล้ว การกระทำหลายอย่างของรัฐบาลเองต่างหากที่ทำให้คนไทยจำนวนหนึ่งและต่างประเทศหมดความเชื่อถือ เช่น กรณีคดีพันธมิตรฯ นับร้อยคดีไม่คืบหน้าซึ่งผิดกับคดีคนเสื้อแดง คดีเพชรซาอุ และอีกสารพัดคดีที่มีการทุจริตคอรัปชั่นในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งคนไทยจำนวนไม่น้อยเคลือบแคลงสงสัย

และเรื่องนี้ทั้งสื่อไทยและสื่อต่างประเทศพากันออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แต่รัฐบาลยังคงนิ่งเฉย และมีความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นมุ่งไปที่ข่าวการทำลายล้าง อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เพื่อกลบกลื่อนคดีอื่นๆ โดยเฉพาะคดีราเกช ซึ่งส่งผลกระทบกระเทือนต่อเสถียรภาพรัฐบาลผสมของพรรคประชาธิปัตย์อย่างรุนแรง

อย่าลืมว่าขณะนี้ข่าวสารสามารถไปได้อย่างทั่วถึง เรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จึงไม่มีอะไรเป็นความลับ หากรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำเอาความอิจฉา ริษยา ต้องการรักษาอำนาจ พยายามรักษาความชอบธรรมโดยการกลบเกลื่อนข่าวทุจริตคอรัปชั่นและหาทางปกป้องพวกพ้องของตน จนกระทบกระเทือนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คนไทยและต่างชาติจะคิดเช่นไร?

ใช่ว่าไทยจะเป็นประเทศใหญ่ จนประเทศเพื่อนบ้านต้องพึ่งพาอาศัยและเกรงกลัว หากแต่ไทยเองก็ต้องพึ่งพาประเทศเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน และหากประเทศเหล่านั้นร่วมกันต่อต้านรัฐบาลไทย เหมือนที่คนไทยจำนวนหนึ่งพยายามทำ เพราะมองว่าท่านมีที่มาไม่ชอบธรรม ไม่สง่างาม และหากมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ไม่มีทางที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลของพวกเขาอีกครั้ง

ซึ่งแน่นอนการเลือกตั้งครั้งใหม่ กำลังคืบคลานเข้ามา เหตุจากปัจจัยหลายประการซึ่งเรื่องนี้ทั้งคนไทยและต่างชาติหากติดตามข้อมูลข่าวสารก็คงรู้ๆ กันอยู่ แล้วแบบนี้ ท่านนายกอภิสิทธิ์ ยังคิดที่จะทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่คบหากันมาช้านานไปเพื่ออะไร?

ประชาชนคนไทยที่ติดตามข้อมูลข่าวสารจะคิดะเช่นไรท่านลองกลับไปถามเขาดูหรือไม่? หรือเป็นเพียงการแอบอ้างความไม่พอใจของคนบางกลุ่มเพื่อใช้เป็นเหตุผล "สุมไฟให้ประเทศชาติร้อนระบุ" เศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วทรุดหนักลงไปอีก ภายใต้สโลแกนที่ว่า "เศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร ประชาชนจะทุกข์ยากแค่ไหนข้าไม่สน ตามล่าทำลายทักษิณเท่านั้นคืองานของเรา"

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

40 ส.ว.จี้รัฐบาลประณามกันพูชา


"ฮุนเซ็น" โชว์เหนือ! ตั้ง "นช.แม้ว" เป็นที่ปรึกษากัมพูชา

สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ทางสถานีโทรทัศน์ของทางการกัมพูชา ได้รายงานข่าวแถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชาที่ว่า กษัตรริย์นโรดม สีหมุนี ได้ทรงมีพระบรมราชโองการ แต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรให้เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล และเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีฮุน เซ็น พระบรมราชโองการฉบับนี้ลงนามวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา
ข่าวโดย Nation Channel

40 ส.ว. จี้รัฐบาลประณามกัมพูชาหมิ่นศักดิ์ศรีระบบยุติธรรมไทย ตั้งแม้วเป็นที่ปรึกษา
จากกรณีดังกล่าว หากรัฐบาลบ้าจี้ทำตามความประสงค์ของกลุ่ม 40 ส.ว. จะถือเป็นการก้าวล่วงกิจการภายในของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสามารถแต่งตั้งใครเป็นที่ปรึกษาก็ย่อมได้แล้วแต่จะเห็นสมควร โดยเฉพาะ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เหตุเพราะกัมพูชาเล็งเห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ของท่านจึงดำเนินการเช่นนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องส่วนตัวที่สามารถทำได้อย่างถูกต้องและชอบธรรม

คงมีหลายคนสงสัยว่า 40 ส.ว. ใช้อำนาจอะไร ในการออกมาจี้รัฐบาลให้ประณามกัมพูชา เขาเป็นเมืองขึ้นของไทยกระนั้นหรือ? หรือว่า 40 ส.ว.ออกมาโต้ตอบเพื่อหวังเป็นข่าวโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา? หรือเพราะอำนาจที่อยู่ในมือท่านได้มาจากเผด็จการ จึงลืมคิดไปว่า "ประเทศกัมพูชาเป็นประชาธิปไตย" การจะก้าวล่วงการบริหารจัดการเรื่องส่วนตัวของคนอื่นหรือประเทศเพื่อนบ้าน จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง

คติโบราญที่ว่า "คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหว้" นั้นเป็นความจริง แต่คนดีในสายตาของแต่ละคนนั้นอาจมองแตกต่างกันไป อย่าง กรณี "ทักษิณ ชินวัตร" ประเทศกัมพูชาแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลและเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี ฮุนเซน ขณะที่ไทยประเทศซึ่งเป็นแผ่นดินเกิด กลับมอบตำแหน่ง น.ช.ให้ในกรณีที่ดินรัชดา มีโทษจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา

หลายประเทศเห็นว่ากรณีนี้เป็น "คดีทางการเมือง" ยังมีกลุ่มคนไทยโดยเฉพาะคนรากหญ้างก็เห็นเช่นนั้นและกำลังต่อสู้เรียกร้องความถูกต้องชอบธรรมให้กับท่าน จากกรณีคำตัดสินดังกล่าว แทบทุกประเทศในโลกกฏหมายลักษณะนี้ไม่ถือเป็นความผิด ประกอบกับความรู้ความสามารถของ "ทักษิณ" ทำให้กัมพูชาเล็งเห็นถึงประโยชน์ข้อนี้ จึงยกตำแหน่งสำคัญให้

และนับจากนี้ไป อาจมีอีกหลายประเทศเลียนแบบ เหตุเพราะทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ความสามารถหายาก โดยเฉพาะผู้ที่ทำให้ประเทศไทยใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้ก่อนกำหนด และยังทำให้คนไทยลืมตาอ้าปากได้ โดยรู้จักกันดีในนาม นโยบาย"ทักษิโณมิก" จึงยากที่จะมีประเทศใดในโลกมองข้ามความจริงข้อนี้

"ทักษิโณมิก" กำลังจะกลับมาบูมอีกครั้งในต่างประเทศ คงมีคนไทยจำนวนไม่น้อยรู้สึกเสียดาย หากแต่บางกลุ่มอาจรู้สึกเสียหน้าและอับอาย ที่พยายามหาทางกำจัดและจำกัดวิธีแล้ววิธีเล่า แต่ไม่สำเร็จ ซ้ำยังเป็นแรงกระตุ้นและผลักดันให้ "ทักษิโณมิก" มีชื่อเสียงเลื่องลืมไปไกลในต่างแดนอีกด้วย

นครปัตตานี "จิ๋วอ่อม"



'นครปัตตานี'อ่วมสับ'บิ๊กจิ๋ว'สร้างภาพ-ไร้สาระ 'มาร์ค'เหน็บแค่เกมเทือกหยามของเก่า'อารีเพ็ญ'ตอกกลับ ให้ถาม'ทักษิณ'ก่อน ภท.ถล่มรับจ๊อบป่วน

รัฐบาลรุมฉะไอเดีย “นครปัตตานี” อ่วม “มาร์ค” เชื่อแค่เกมการเมืองหาเสียง หวั่นทำประชาชนสับสน-เติมเชื้อไฟใต้ “เทพเทือก” ซัดจิ๋วไร้สาระ เย้ยขุดของเก่าทำแล้วเหลวมาขาย ลั่นไม่นิรโทษฯโจรใต้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ “ปชป.” ซัดให้ข้อมูลบิดเบือนทำชาวบ้าน

สับสน ขณะที่ “กลุ่มวาดะห์” เสียงแตก “อารีเพ็ญ” ค้านนครปัตตานี ไล่จิ๋วคุยเจ้าของ พท.ตัวจริงก่อน ด้าน “มุข” อีกทางเชื่อไม่
ปัญญาอ่อนทำผิดกฎหมาย จี้รัฐบาลฟังก่อนค้าน “ภท.”สงสัยรับแผนโจรใต้ป่วนเมือง ส่วน “เพื่อไทย” เรียงหน้าโต้ยันนครปัตตานีสร้าง ความสมานฉันท์ จวกรัฐบาลบิดเบือน-ป้ายสี ตอกกลับคงเสียหน้าถูกลูบจมูก โวพ่อใหญ่จิ๋วลงใต้เสียงตอบรับดี

“มาร์ค” ค้านตั้งนครปัตตานี
หลังจากการลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย และอดีตนายกรัฐมนตรี ได้
เสนอแนวทางตั้งนครรัฐปัตตานี และออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับผู้ก่อความไม่สงบ เพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่นั้น ต่อมาวัน ที่ 4 พ.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เกรงจะเกิดความสับสน จริงแล้วแนวคิดที่รัฐบาลทำอยู่สนับสนุนเรื่อง
การกระจายอำนาจ และสนับสนุนเรื่องการพัฒนาที่สอดคล้องกับชีวิตของคนในพื้นที่ เมื่อไปพูดในเชิงโครงสร้างขึ้นมาจะเกิดข้อถกเถียง และนำไปสู่ความขัดแย้ง

ฉะนั้นอยากให้ระมัดระวังถ้าเป้าหมายคือต้องการจะหากลไกตอบสนองประชาชนในพื้นที่ได้ดีขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ แต่ไม่ทำในลักษณะซึ่งอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาได้ ซึ่งต้องไปถามท่านว่ารับแนวคิดดังกล่าวมาจากไหนทั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่าอาจเป็นวิธีหาเสียงกับคนบางกลุ่มในพื้นที่ แต่รัฐบาลอยากจะยึดประโยชน์ของส่วนรวม ประโยชน์ของคนในพื้นที่ด้วย และประโยชน์ของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เราต้องยอมรับว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นนี้มี และพยายามหาทางยกระดับ ซึ่งเป็นแนวทางการต่อสู้ของเขาอยู่แล้ว

ฉะนั้นด้วยเหตุผลนี้รัฐบาลจึงมีแนวทางที่จะต่อสู้ด้วยเรื่องการพัฒนา การอำนวยความยุติธรรมและเรื่องโครงสร้างที่กำลังมีการปรับปรุงตามกฎหมายใหม่ ที่กำลังจะเสนอเข้าสภาในอีก 2-3 สัปดาห์นี้ สำหรับทางมาเลเซียพูด ชัดเจน และถือว่าปัญหานี้เป็นเรื่องภายในของเรา เขาพร้อมที่จะสนับสนุนช่วยเราให้แก้ไขปัญหาได้ตามที่เราร้องขอ ฉะนั้นนโยบายเขาชัดอยู่แล้ว ยืนยันว่ารัฐบาลไทยกับรัฐบาลมาเลเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และให้การสนับสนุนทิศทางนโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ส่วนแนวคิดเขตปกครองพิเศษพูดกันมานานแล้วพิเศษอย่างไร นี่คือความสับสน ตนเห็นว่าคนที่พูดเขตปกครองพิเศษ 2 คนหมายความกันคนละอย่าง รัฐบาลขณะนี้กำลังทำระบบกลไกการบริหารราชกการจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมาเป็นกฎหมายใหม่ นั่นเป็นการยอมรับอยู่แล้วว่าพื้นที่ตรงนี้จะมีกลไกพิเศษในการบริหารราชการ แต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นการที่รัฐบาลพูดถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่ง มีมาตรการที่กำลังดำเนินการอยู่ก็เป็นการยอมรับอีกเช่นเดียวกันว่าเรากำลังตอบสนองพื้นที่นี้ที่มีความต้องการพิเศษขึ้นมา อันนี้คือหัวใจ

“เทือก” ลั่นไม่นิรโทษฯ โจรใต้
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า ที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เสนอให้มีการฟื้นโครงการ
ฮารับบันบารูนั้น เป็นเรื่องเก่าที่เคยเสนอมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ส่วนข้อเสนอให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับผู้ก่อความไม่สงบนั้นคง
ทำได้ยาก เป็นไปไม่ได้ การนิรโทษกรณีเช่นนี้ทุกคนที่เคยฆ่าประชาชน ฆ่าเจ้าหน้าที่ แล้วไม่ถูกลงโทษ เป็นคนละหลักการกับการให้
อภัย คนผิดต้องว่าไปตามผิด และไม่เชื่อว่าจะเป็นแนวคิดที่จะแก้ปัญหาภาคใต้ได้ในวันนี้ เพราะผู้ก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนภาคใต้มี
หลายกลุ่ม มีหลายฝ่าย และไม่คิดว่าจะมีอุดมการณ์มีแนวทางที่ไปในทิศทางเดียวกัน ประชาชนไม่ได้เชื่อถือ ความรู้สึกของประชาชนที่ เข้าร่วมหรือเป็นใจกับบรรดากลุ่มผู้ก่อการร้ายทั้งหลายอาจจะมาจากสาเหตุเดิม คือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาล

วันนี้เมื่อรัฐบาลปฏิบัติต่อเขาดี ตนเชื่อว่าประชาชนจะรู้สึกว่าเขาอยู่กับรัฐบาลไทยเขาก็มีความสุขดีแล้ว เขาเกิดในแผ่นดินนี้ อยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร เขามีความสุขเขาก็ไม่ไป ทีนี้ผู้ร้ายเหล่านั้นก็หันกลับมาทำร้ายประชาชนเพื่อสร้างภาวะของความหวาดกลัว ฆ่าผู้
บริสุทธิ์ คนที่เสียชีวิต คนที่บาดเจ็บเป็นคนมุสลิม การทำแบบนี้ไม่ใช่การกระทำของคนที่มีอุดมการณ์ ตอนที่เป็นคอมมิวนิสต์เขาไม่ได้ทำอย่างนี้ เชื่อเรื่องดังกล่าวจะไม่กระทบความสัมพันธ์กับรัฐบาลมาเลเซีย เนื่องจากที่ผ่านมามาเลเซียสนับสนุนการแก้ปัญหาของ
รัฐบาลชุดนี้ และในฐานะที่รับผิดชอบปัญหาภาคใต้ ยืนยันรัฐบาลไม่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระ และจะเร่งยกระดับคุณภาพชีวิตและความ
ปลอดภัยของประชาชนมากกว่าการใช้กำลัง ส่วนที่ พล.อ.ชวลิต มั่นใจว่าการลงไปในพื้นที่พบปะกับประชาชน และการแสนอแนวทาง
จะให้วันที่ 5 ธ.ค.เป็นวันสันติภาพ และมีการหยุดยิงนั้น พล.อ.ชวลิต ก็เคยคิดเคยแสดงอะไรมากกว่านี้ และล้มเหลวไปก็มาก ดู
สนุกๆ ไปก่อนก็แล้วกัน พูดมากไปเดี๋ยวท่านจะโกรธ

เมื่อท่านออกมาแสดงความเห็นและทำให้สังคมสับสน ตนก็ต้องมาชี้แจง สำหรับเรื่องการจะไปเจรจานั้นมีหลายกลุ่มทั้งกลุ่มพล.อ.ชวลิต กลุ่มอดีตนายทหาร มีการดำเนินการไปหลายครั้ง แต่บางคนกลายเป็นตลกครั้งใหญ่ต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศมาแล้ว ตนคิดว่าอย่าไปเป็นจริงเป็นจัง ตนไม่เชื่อว่าวิธีการจะไปเจรจาจะได้ และการลงพื้นที่ ของ พล.อ.ชวลิต ก็เห็นว่าไม่มีสาระ รวมทั้งข้อเสนอให้ตั้งทบวงด้านความมั่นคงของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็ถือเป็นเรื่องที่ไร้สาระสำหรับความรู้สึกของตนเองเช่นกัน

ส.ส.ใต้ ปชป.ถามหวังผลอะไร
นายพีรยศ ราฮิมมูลา ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะทำงานเฉพาะกิจชายแดนใต้พรรคประชาธิปัตย์
กล่าวว่า อยากรู้ว่าวัตถุประสงค์แท้จริงของ พล.อ.ชวลิต มุ่งหวังอะไรในการเสนอให้ตั้งรัฐปัตตานี และให้มีการนิรโทษกรรม
เพราะสมัยที่ พล.อ.ชวลิต เป็น รมว.มหาดไทย ในรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย เมื่อปี 2535 เกิดเหตุการณ์เผาโรงเรียนจำนวน
มาก ซึ่งอยากถาม พล.อ.ชวลิต ว่า การเสนอโครงการนี้เคยมีการสอบถามความเห็นประชาชนในพื้นที่แล้วหรือไม่ และคิดหรือว่า
ประชาชนในพื้นที่จะไม่จดจำผลงานของ พล.อ.ชวลิต ในสมัยที่คุมงานด้านความมั่นคง ทั้งนี้ เชื่อว่าชาวบ้านรู้จัก พล.อ.ชวลิต ดี
เพราะได้เคยสร้างบาดแผลกับคนในพื้นที่ไว้มาก ทั้งเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ และเหตุการณ์หน้า สภ.อ.ตากใบ ชาวบ้านเขามองออก
ว่า พล.อ.ชวลิต เป็นคนอย่างไร และแนวคิดไม่มีรายละเอียดที่เป็นรูปธรรมยิ่งจะเพิ่มความสับสน โดยมีความพยายามเบี่ยงเบน
เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็นผลงานที่สืบเนื่องที่รัฐบาลนี้แก้ไขล้มเหลว ส่วนตัวเชื่อว่าขณะนี้ พล.อ. ชวลิต เหลือแต่ชื่อเสียงจากผลงานในอดีต และที่อ้างว่าจะทำงานนี้เป็นครั้งสุดท้ายนั้นก็เชื่อว่าเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเพื่อหวังผล ประโยชน์ของกลุ่มบุคคลหนึ่งเท่านั้น เพราะปัญหานี้สั่งสมมานาน และต้องใช้เวลา ซึ่งตนในฐานะประธานคณะฯ ซึ่งได้มีการประชุม ส. ส. 3 จังหวัดชายแดนใต้ทุกเดือน จากนี้จะทำงานในเชิงรุกเพื่อรับฟังปัญหาและเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาโดยตรงต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อจะช่วยรัฐบาลในการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้

ภท.อัดจิ๋วรับแผนโจรใต้
นายศุภชัย ใจสุมทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ที่ พล.อ.ชวลิต เสนอการจัดตั้งนครปัตตานีนั้น เป็นแนวคิดของผู้ที่จะก่อ
การร้ายในการแบ่งแยกดินแดน แต่ประชาชนนั้นไม่ต้องการที่จะให้มีการแยกประเทศแยกการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นไทย-พุทธหรือไทย-มุสลิม แต่ทางแก้ไขในตอนนี้คือทำความเข้าใจและยอมรับในอัตลักษณ์ของคนที่ทำนั่นคือสิ่งสำคัญ เพราะวันนี้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้รับ ความเป็นธรรมและเวลานี้รัฐบาลได้เดินมาถูกทาง ดังนั้นแนวทางที่ พล.อ.ชวลิต เสนอมานั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายกว่าเดิม และ
เหมือนกับว่ารับแผนมาจากโจรใต้

ทั้งนี้ในเรื่องการนิรโทษกรรมให้แก่โจรใต้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำเลยเพราะความจริงวันนี้ประชาชนต้องการตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษและผู้บริสุทธิ์ก็ต้องได้รับความเป็นธรรม แนวทางนี้ไม่จำเป็นโดยเท่าที่ดูขณะนี้ พล.อ.ชวลิต ทำอะไรไปเลื่อยเปื่อย โดยไม่รู้ต้องทำอย่างไรไม่มีจุดมุ่งหมาย ส่วนการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของพล.อ.ชวลิต ตนมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ วันนี้ต้องยอมรับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมันเริ่มต้นมาตั้งแต่ในสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งชี้แนวทางการปราบปรามแบบใช้กำลังในกรณี มัสยิดลือเซะ กับ ตากใบ ซึ่งเป็นเพียงโจรธรรมดาแต่กลับใช้วิธีการที่รุนแรงอย่างไม่เป็นธรรมและนั่นก็คือจุดเริ่มต้น

“อารีเพ็ญ” ไล่จิ๋วคุยเจ้าของ พท.
นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคมาตุภูมิ กล่าวว่า แนวคิดนครปัตตานีของ พล.อ.ชวลิต เคยเสนอมาตั้งแต่ ปี 2547 แต่ยังไม่มีความชัดเจนในโครงสร้างและแนวทางในการจัดตั้งคงมีเพียงชื่อเท่านั้น ส่วนแนวคิดนี้จะทำให้พรรคเพื่อไทยได้มาเป็นรัฐบาลหรือไม่นั้น คงต้องรอดูต่อไป แต่พรรคเพื่อไทยคงต้องประกาศเป็นนโยบายที่แน่ชัด ไม่ให้เหมือนกับการแก้รัฐธรรมนูญที่เคยประกาศว่าจะแก้ แต่พอมีคำสั่งจากต่างประเทศก็ไม่แก้ นอกจากนี้ยังไม่แน่ใจว่า พรรคเพื่อไทยจะเห็นด้วยกับแนวคิดของ พล.อ.ชวลิต หรือไม่ ดังนั้น เมื่อ พล.อ.ชวลิต ออกมาพูดเรื่องนี้ ก็ควรจะทำความเข้าใจกับสมาชิกพรรคก่อน ว่าเห็นด้วยหรือไม่

นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีเจ้าของจึงควรทำความเข้าใจกับเจ้าของพรรคด้วย เพราะเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้คิดเรื่องการแก้ปัญหาภาคใต้แบบนี้เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หารือแนวทางจัดตั้งเขตปกครองพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กับนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซียนั้นไม่ทราบเรื่องนี้ นพ.แวมาหะดี แวดาโอ๊ะ ส.ส.นราธิวาส พรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นคนให้ข่าวนี้ แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ประเทศไทยจะยกระดับปัญหาภายในประเทศไปหารือกับผู้นำต่างประเทศ อย่างไรก็ตามเรื่องการตั้งนครปัตตานีถ้าเราพูดแค่ชื่อคนอาจสับสน แต่ถ้าพูดถึงการจัดตั้งเขตปกครองลักษณะพิเศษ ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ ตนก็เห็นด้วย ส่วนประเด็นการเสนอนิรโทษกรรม เห็นว่าประเทศต่างๆรวมถึงประเทศไทยก็เคยดำเนินการมาแล้ว แต่เมื่อนิรโทษกรรมแล้วปัญหาต่างๆจะยุติหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่อง เพราะบางคนที่ดำเนินการก็มีอุดมการณ์ รวมกับความเชื่อมาแต่โบราณซึ่งเชื่อว่า การนิรโทษกรรมจะมีผลในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่คงไม่ยุติในทันทีทันใด แต่สำหรับการก่อเหตุที่ชัดเจนเป็นคดีอาญาก็คิดว่าต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนในแง่ของอุดมการณ์เป็นเรื่องทางการเมืองก็น่าจะสามารถนิรโทษกรรม

“มุข” หนุนตั้งนครปัตตานี
นายมุข สุไลมาน โฆษกพรรคมาตุภูมิ กล่าวว่า แนวความคิดตั้งนครปัตตานีของพล.อ.ชวลิต เป็นแนวคิดหนึ่งเพื่อหาทางออก
ในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นรัฐบาลน่าจะรับฟังมากกว่าที่จะออกมาคัดค้านหรือโต้แย้ง เพราะแนวความคิดของพล.อ.ชวลิตนั้น เป็นการ
เปิดช่องให้กับรัฐบาลหากรัฐบาลใจกว้างถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา แต่หากรัฐบาลไม่กระตือรือร้นเท่ากับว่า
รัฐบาลขาดความรับผิดชอบ อย่างไรก็ตามตนเคยเสนอมาก่อนแล้วว่า หากรัฐบาลยังไม่ได้คิดวิธีการอื่นนอกจากสิ่งที่เคยทำมาก็ขอให้
ลองใช้วิธีการให้ปกครองตนเอง วันนี้พล.อ.ชวลิตก็ฉีกไปในอีกแนวทางหนึ่งที่น่ารับฟัง ดังนั้นรัฐบาลจึงควรจะประสานทำความเข้าใจ
กับพล.อ.ชวลิตว่า มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง รวมทั้งนำไปศึกษาหากตรงไหนที่เป็นประโยชน์ก็ควรนำไปใช้ หากรัฐบาลหวังดีและ
ตั้งใจที่จะแก้ปัญหาจริงๆ ก็อย่าคิดว่าเป็นเกมการเมือง คิดว่าเป็นการดิสเครดิตรัฐบาล หรือเลยเถิดไปจนถึงขั้นที่มองว่าเป็นการแบ่ง
แยกดินแดน เป็นการขายชาติ หรือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะเชื่อว่าพล.อ.ชวลิตคงไม่ปัญญาอ่อนจนไม่รู้ว่าอะไรที่ผิดหรือถูกกฎหมาย

จี้รัฐบาลฟังแนวทางก่อนแย้ง
ด้านนายสุระ เตชะทัต ผู้ช่วยโฆษกพรรคมาตุภูมิ กล่าวว่า คนที่ออกมาตอบโต้พล.อ.ชวลิตนั้น ยังไม่รู้เลยว่าวิธี การ แนวทาง รายละเอียด วิธีปฏิบัติ และรูปร่างโครงสร้างเป็นอย่างไร เห็นว่าใบไม้ไหวก็นึกว่ามีใครมาจึงรีบส่งเสียงเสียก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องรัฐบาลต้องฟังคนอื่นด้วย ไม่ใช่ต้องคิดตามรัฐบาลเท่านั้นจึงจะถูกเสมอไป พล.อ.ชวลิตเพียงแต่เสนอแนวคิดแต่ท่านไม่มีอำนาจสั่งการใดๆ ดังนั้นรัฐบาลต้องเข้าใจว่าที่พล.อ.ชวลิตต้องออกมาเสนอแนวคิดแบบนี้ ก็เพราะการแก้ปัญหาภาคใต้ของรัฐบาลล้มเหลว ปัญหาภาคใต้นั้นที่ผ่านมาเราไม่ยอมพูดกันตรงไปตรงมา เบี่ยงเบนเป็นประเด็นการเมืองมาตลอด ฝากถึงนายกรัฐมนตรีและ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลด้านความมั่นคงด้วยว่า ที่ผ่านมาให้ความสนใจกับปัญหาในภาคใต้น้อยมาก นาย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยลงไปดูแลปัญหาด้วยตัวเองหรือไม่ มีอะไรก็สั่งแต่นายสุเทพให้ลงไปดูแลแก้ไขปัญหา

พท. ยันนครปัตตานีสร้างสมานฉันท์
ขณะที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำโดย นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน นายซูการ์โน
มะทา ส.ส.ยะลา นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน ได้แถลงข่าวถึงกรณีที่รัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาโจมตีการลง
พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย โดยนายไพจิต กล่าวว่า การที่พล.อ.ชวลิตลงพื้นที่ จะส่งผลดีต่อประชาชนในพื้นที่และคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งฝ่ายค้านก็จะปฏิบัติภารกิจนี้ต่อไป และภารกิจต่างๆของพล.อ.ชวลิตเป็นที่ชื่นชมองกรรมการบริหารพรรค ไม่ว่าการเยือนประเทศกัมพูชา และจะเดินทางเยือนพม่า มาเลเซีย ลาว และเวียดนาม ซึ่งพล.อ.ชวลิต ระบุว่าภารกิจที่สำคัญที่จะต้องกำหนดแนวทางให้ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่รัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์กลับ ทำให้เกิดความสับสนและบิดเบือน กล่าวหาว่าเป็นแนวคิดที่จะแบ่งแยกดินแดน อย่างไรก็ตามถ้าพรรคเพื่อไทยมีอำนาจในการบริหารประเทศ จะใช้ทฤษฎีดอกไม้หลากสีเข้าไปแก้ปัญหาและเคารพความแตกต่างของคนในพื้นที่ ซึ่งหากมีการเลือกตั้งพรรคจะใช้เป็น นโยบายในการหาเสียง ซึ่งประชาชนจะเป็นคนตัดสินว่าเห็นด้วยกับแนวทางนี้หรือไม่ แต่ถ้ายังไม่มีการเลือกตั้งก็จะเป็นแนวทางในการ ทำงานในสภา

จวกรัฐบิดเบือนไอเดียจิ๋ว
ด้านนายประเกียรติ กล่าวว่า สิ่งที่ พล.อ.ชวลิต เสนอถือเป็นแนวทางที่จะสร้างความสมานฉันท์ให้กับคนทั้งประเทศ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลไม่สามารถทำให้เกิดความสงบได้ ถามว่าขณะนี้รัฐบาลทำอะไรอยู่ทั้งๆ ที่ประกาศว่าจะสร้างความ สมานฉันท์ให้เกิดขึ้นภายใน 99 วันตามนโยบาย แล้วขณะนี้กี่วันจนชาวบ้านทนไม่ไหวแล้วต้องออกมาประกาศไม่ให้มีเสียงปืนใน 3อำเภอ ซึ่งเป็นรอยต่อ 3 จังหวัด ดังนั้นรัฐบาลไม่ควรที่จะออกมาต่อต้านพล.อ.ชวลิต และแนวคิดในการสร้างนครปัตตานีก็เป็นสิ่งที่มี อยู่ในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 78 (2) ซึ่งสามารถทำได้ แต่รัฐบาลกลับกล่าวหาว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดน แบ่งแยกคน ทั้งนี้การ ที่ พล.อ.ชวลิต เดินทางไปในจังหวัดภาคใต้เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา ก็ได้เชิญทั้งพรรครัฐบาล และฝ่ายค้าน แต่ถูกกีดกันโดยสกัดกั้น
ไม่ให้กำนันผู้ใหญ่บ้านไปยุ่งเกี่ยว ถือว่ารัฐบาลไม่จริงใจ ไม่สร้างสรรค์ แต่ยังขัดขวางการสร้างความสมานฉันท์อีก

เย้ยไอเดียจิ๋วทำรัฐบาลเสียหน้า
ว่าที่ ร.ต.พงศ์พันธุ์ สุนทรชัย ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ผู้ที่ออกมาต่อต้านแนวคิดให้ตั้งนครปัตตานีคงรู้สึกเสียหน้า เนื่องจากเป็นรัฐบาลแต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคใต้อย่างที่ออกมาประกาศไว้ ซึ่งพรรคเพื่อไทยโดยคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ ของพรรค รวมทั้ง ส.ส.เห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะจุดประสงค์ของการเสนอแนวคิดดังกล่าวนั้น ไม่ได้ต้องการแบ่งแยกดินแดง
หรือไปรับงานจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล อย่างที่ฝ่ายรัฐบาลกล่าวหา ยืนยันว่าการตั้งนครปัตตานีนั้น เป็นเพียงการ
ยกระดับการปกครองให้ โดยยกฐานะจากเทศบาลเมือง เป็นเทศบาลนคร ไม่ใช่การแบ่งแยกดินแดนหรือแยกรัฐปกครองโดยอิสระ
และถึงแม้จะมีเสียงต่อต้านทางพรรคคงเดินหน้าในเรื่องนี้ต่อเพราะถือว่าทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์

โวจิ๋วลงใต้เสียงตอบรับดี
ส่วนนายพิเชษฐ สถิรชวาล ประธานคณะกรรมการภาคใต้ พรรคเพื่อไทย และเลขาธิการคณะกรรมการอิสลามกลาง กล่าว
ว่า การลงพื้นที่ภาคใต้เมื่อที่ 2 พ.ย. ของ พล.อ.ชวลิต ได้รับการตอบรับจากประชาชนที่เข้าร่วมสัมมนาเป็นอย่างดี และเชื่อว่าแนว
ทางการเสนอตั้งนครปัตตานี จะแก้ไขความรุนแรงในพื้นที่ได้ และนครปัตตานีก็จะเป็นเขตปกครองรูปแบบหนึ่งของไทย อยู่ภายใต้รัฐ
ธรรมนูญ ไม่ได้คิดจะแยกตัวเป็นเอกราชเหมือนอย่างที่พูดกัน ทั้งนี้เรื่องนี้ถือเป็นนโยบายหลักของพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล เราจะเดินหน้าเรื่องนี้อย่างแน่นอน และในเขต 3 จังหวัดภาคใต้ พรรคก็จะชูตัว พล.อ.ชวลิต เป็น
จุดขาย ทั้งนี้นโยบายพรรคเพื่อไทยในภาคใต้จะมีการใช้นโยบายศาสนานำการเมือง

“เทือก” ยัน 6 พ.ย.โผ ตร.จบ
ส่วนการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 พ.ย.นั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายก
รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า จะมีการพูดคุยกันในวาระการแต่งตั้งโยกย้าย และทุกตำแหน่งควรจะจบลงในการประชุมนัดนี้ อย่าง
ไรก็ตาม ยืนยันว่าจนถึงนาทีนี้ไม่มีอะไรที่ต้องทำให้สะดุด ทุกคนต้องคิดถึงระบบๆ ต้องขับเคลื่อนไปได้ และเมื่อการประชุมเสร็จเรียบ
ร้อยแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องนำรายชื่อไปให้นายกรัฐมนตรีดู

“ปทีป” ลั่นยึดหลักอาวุโส-ความสามารถ
ด้าน พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่าในวันศุกร์ที่ 6 พ.ย.นี้ จะมีการประชุมคณะ กรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. หลังจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. เลื่อนมา
จากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยวาระการประชุมยังคงเป็นวาระการแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถึงผู้บัญชาการ
เริ่มจากประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองในช่วงเช้าและประชุม ก.ตร. ในช่วงบ่าย ขณะที่แนวทางการแต่งตั้งยังคงยึดหลักอาวุโสและ
ความรู้ความสามารถ ส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลงบัญชีรายชื่อหรือไม่ คงต้องรอผลการประชุมอย่างเป็นทางการ จึงจะมีความชัดเจน
รวมถึงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล และผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยยืนยันไม่มีแรงกดดันจากฝ่ายใดต่อการแต่งตั้งในครั้งนี้

อัยการตีกลับสำนวน “ราเกซ”
ส่วนความคืบหน้าคดี นายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด(มหาชน) หรือบีบีซี ผู้ต้องหายักยอกทรัพย์ บีบีซี นั้น ที่สำนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจฯ นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจฯ เป็นประธานประชุมคณะทำงานอัยการคดีฝ่ายเศรษฐกิจ 5 คน พิจารณาสำนวนการสอบปากคำนายราเกซ นาน 2 ชม.พบว่าสำนวนสอบที่ตำรวจส่งมาให้ยังไม่สมบูรณ์ 2 ประเด็น เกี่ยวกับการแปลเอกสารภาษาอังกฤษที่ประกอบในสำนวน และการแจ้งสิทธิ์ต่อสู้คดีให้ผู้ต้องหาทราบตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 ยังไม่ครบถ้วน จึงให้พนักงานสอบสวน ทำการสอบเพิ่ม เติมใน 2 ประเด็นดังกล่าว คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 วัน

“ราเกซ” เริ่มคุ้นชีวิตในเรือนจำ
ด้านนายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า มาตรการดูแลนายราเกซ จำเป็นต้องเน้นเรื่องความปลอดภัย เพราะเป็นผู้ต้องหาคดีสำคัญ และเรื่องสุขภาพ เพราะนายราเกซ ป่วยโรคความดันโลหิตสูง และเส้นเลือดตีบ จึงต้องเตรียมแพทย์ไว้คอยดูแล ส่วนเรื่องอาหารนั้น เรือนจำไม่อนุญาตให้รับอาหารหรือของเยี่ยมจากภายนอก แต่ผู้ต้องขังสามารถรับประทานอาหารของ ทางเรือนจำที่ปรุงในแดนสูทกรรม หรือซื้ออาหารจากร้านค้าสงเคราะห์ภายในเรือนจำ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายราเกซ สั่งซื้ออาหารจากร้านค้าสงเคราะห์ภายในเรือนจำเป็นหลัก เพราะยังไม่คุ้นกับรสชาติอาหารที่ทางเรือนจำจัดให้
ข่าวจากหนังสือพิมพ์บ้านเมือง/ryt9.con

บทวิเคราะห์

คติโบราณที่ว่า "คำพูดเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ยังใช้ได้ทุกยุกต์ทุกสมัย และไม่ว่าคนๆ นั้นจะยากดีมีจนหรือมีชื่อเสียงเกียรติยศทรัพย์สินเงินทองมากมายเพียงไหนก็ตาม ยกตัวอย่างกรณี "บิ๋กจิ๋ว" ซึ่งถือว่าเป็นผู้อาวุโสในบ้านเมืองและมีประสบการณ์ทางการเมืองมากคนหนึ่ง ท่านได้เสนอความคิดเห็นเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาภาคใต้ แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐ สื่อ และนักวิชาการบางท่าน

แต่หากจะมองให้ลึก จะเห็นว่าใครก็ตามที่เข้าไปอยู่ในวงจรของ "อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร" ต่อให้ความคิดบรรเจิดเลิศเลอแค่ไหนก็จะถูกออกมาต่อต้านชนิดหัวชนฝากจากรัฐบาลและสื่อสารมวลชนรวมทั้งนักวิชาการบางกลุ่มแทบทุกกรณี เพราะเหตุนี้อาจทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยมองว่า พากค้านแทบทุกกรณี แต่ไม่เสนอแนวทางแก้ไข เป็นพวก "มือไม่พาย แต่ชอบเอาเท้าราน้ำ"

และจากกรณีนี้เอง จึงเป็นการยากที่ประเทศชาติจะเดินหน้าไปได้ เพราะการไม่ยอมฟังความคิดเห็นผู้อื่น ขอแค่ออกมาคัดค้านให้อีกฝ่ายเสียชื่อเสียหน้าเป็นพอ การจัดการบ้านเมืองไม่ใช่แค่คนกลุ่มเดียวจะสามารถทำได้ แต่ต้องประกอบด้วย "ความร่วมมือ ร่วมใจและความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน" จึงจะพาชาติอยู่รอดปลอดภัยและพัฒนาไปอย่างยั่งยืน

แต่หากมีผู้เสนอความคิดเห็นด้วยเจตนาบริสุทธิ์อยากหาทางสร้างความสมานฉันท์ให้คนในชาติ แต่มีผู้ไม่เห็นด้วยออกมาคัดค้านวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางเสื่อมเสีย แทนที่จะเสนอแนวทางแก้ไขหรือร่วมด้วยช่วยกันหาทางออก กลับพูดจาเยาะเย้ยถากถาง เห็นปัญหาของประชาชนเป็นเกมการเมืองเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามด้วยทรัพยากรที่ตนมีอยู่ แล้วแบบนี้ "จะแก้ปัญหาชาติได้อย่างไร"