วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552
กัมพูชาโต้กรณีดักฟังโทรศัพท์/เฉลิมนัดชำแหละผลงานรัฐบาล
วันที่ 24 ธันวาคม รัฐบาลกัมพูชาได้ออกมาแถลงตอบโต้กรณีมีผู้กล่าวหาดักฟังโทรศัพท์ว่าไม่มีมูลความจริง เป็นจินตนาการของนายอภิสิทธิ์ที่ต้องการปิดบังความอ่อนแอและหวังผลทางการเมือง
ในวันเดียวกัน ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ออกมากล่าวเตรียมชำแหละผลงานรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในวันที่ 3 มกราคม ปีหน้าหลังกลับจากลงพื้นที่ช่วยลูกพรรคหาเสียงที่จังหวัดมหาสารคาม
บ่ายวันที่ 24 นายจิตตนาถ บุตรชาย นายสินธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ออกมาโวยถูกโกงขายข้าว ASTV บริษัทผลิตไม่จ่ายส่วนแบ่ง
กต.แจ้งกองปราบเอาผิดแกนนำเสื้อแดงเผยแพร่เอกสารลับ
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม กระทรวงการต่างประเทศ ออกมาขู่จะจัดการคนเผยแพร่เอกสาร ขณะนี้ได้ให้ฝ่ายกฏหมายตรวจสอบดูแล้ว พบว่ามีความผิดเข้าข่ายขายความลับ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่าตนไม่รับรู้เอกสารลับ เนื่องจากข้อความไม่กระทบความมั่นคง กองทัพไม่ต้องปฏิบัติตาม เรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศต้องรับผิดชอบ
พร้อมทั้งให้สัมภาษณ์ถึงงานปีใหม่ปีนี้ว่าไม่จำเป็นต้องประกาศ พรบ. ความมั่นคง แม้คนเสื้อแดงขู่ชุมนุมประท้วงองค์กรอิสระก่อนสิ้นปี เชื่อว่าจะไม่มีเหตุรุนแรง ขอร้องประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา ส่วนตนจะคอยเช็คข่าวตลอด
ด้านเลขาฯ กกต.ขอกำลังตำรวจคุ้มกันบ้าน 5 กกต. วอนขอความเห็นใจแค่มอบให้ประธาน กกต. ทำความเห็นยังไม่ลงมติในรายละเอียด
บ่ายวันที่ 24 ธันวาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งกำลังไปคุมเข้มบ้าน กกต.ทั้ง 5 เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งขู่ว่า หากเกิดปัญหาจะฟันแดงบุกป่วน
ล่าสุด กระทรวงการต่างประเทศแจ้งกองปราบให้ดำเนินคดีนายจตุพร พรหมพันธ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ข้อหาเผยแพร่เอกสารลับไทย-กัมพูชา
"ทักษิณ" วีดีโอลิงค์งานเลี้ยงปีใหม่เพื่อไทย
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค เวลา 19.50 น. ระหว่างงานเลี้ยงปีใหม่ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอลิงก์มาในงาน มีนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายจักรภพ เพ็ญแข นั่งขนาบข้าง
พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าขอร่วมปาร์ตี้ด้วยอีก 3 คน พูดทำนองทีเล่นทีจริงว่ากำลังคิดกลับไทยสงกรานต์ พร้อมทั้งพูดถึงผลงานพรรคประชาธิปัตย์ว่าบริหารประเทศแย่ที่สุด
วันที่ 24 ธันวาคม “ทักษิณ” ได้ส่ง SMS ถึงผู้ที่ขอรับข่าวสารผ่านระบบมือถือ ว่าสุขสันต์วันคริสต์มาสครับ เที่ยวให้สนุก เมาอย่าขับด้วยรักและหวงใยจากดูใบ
บิ๊กจิ๋วเตือนรัฐบาล ไม่เริ่มต้นเจรจาจะมีคนมาทำแทน
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ออกมากล่าวว่าการที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ไม่รับเป็นคนกลางในการเจรจาดีแล้วเพราะไม่ใช่หน้าที่ พร้อมกับกล่าวเตือนรัฐบาลว่าหากไม่รับเริ่มต้นเจรจาเดี๋ยวจะมีคนมาทำแทน
ด้านนายจักรภพ เพ็ญแข กล่าวถึงพล.อ.สุรยุทธ์ ว่าตัดช่องน้อยเอาตัวรอดกรณีการเจรจาสมาฉันท์ เพราะถูกกดให้อยู่เบื้องหลังคนที่ไม่อยากให้บ้านเมืองสงบ
ในวันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์รู้สึกกังวลใจกรณีไทยจับอาวุธสงครามต่างด้าว พร้อมทั้งเร่งฝ่ายความมั่นคงสรุปคดีฯ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง บอกให้เวลาเจ้าหน้าที่ทำงานมามากพอแล้ว ขอให้เร่งสรุปก่อนปีใหม่
ขุมทรัพย์ "ทักษิณ"
หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) “ขบวนการตุลาการภิวัฒน์” ได้เข้ามามีบทบาทในการบริหารบ้านเมืองมากขึ้น พร้อมกับคำว่า "นิติรัฐ" และ "นิติธรรม" ถูกนำมากล่าวอ้างอย่างแพร่หลาย
นิติธรรม หมายถึง กฏหมายที่เป็นธรรม
นิติรัฐ หมายถึง รัฐหรือประเทศที่ปกครองโดยใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือ
สรุปแล้ว นิติธรรม-นิติรัฐ ก็คือ การปกครองด้วยกฏหมายที่มีความเป็นธรรม บุคคลมีความเสมอภาคทางด้านกฏหมาย
หากประเทศใดปกครองด้วยระบบนิติธรรม-นิติรัฐ ประเทศนั้นย่อมมีความผาสุข ประชาชนมีความเสมอภาค ภราดรภาพ และเสรีภาพ นี่คือหลักการปกครองโดยระบอบประชาธิไตยที่ทั่วโลกยอมรับ
หลังจากมีการยึดอำนาจ 19 กันยา คำว่า นิติธรรม-นิติรัฐ สองมาตรฐาน ตุลาการภิวิฒน์ ถูกพูดถึงอย่างหนาหูผ่านสื่อหลายกระแสทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เริ่มตั้งแต่คดียุบพรรคไทยรักไทย และมีการตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองย้อนหลัง 5 ปี จากนั้นก็คดีตะหลิวกับกระทะที่ทำให้นายสมัคร สุนทรเวช ต้องกระเด็นตกจากเจ้ากี้นายกรัฐมนตรี ยังมีคดียุบพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้น และยังมีอีกคดีใหญ่ที่จะตัดสินต้นปี 2553 ซึ่งกำลังเป็นข่าวเกรียวกราวอีกหนึ่งคดี นั่นคือ คดียึดทรัพย์ อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกคนที่ 23 ของไทยซึ่งมีข่าวการถูกลอบสังหารหลายครั้ง ตั้งแต่รับตำแหน่งนายกฯ ใหม่ๆ เมื่อปี 2544โดยเกิดเหตุระเบิดของเครื่องบินการบินไทย จนถึง “คาร์บอมบ์” ที่กลายเป็น “คาร์บ๊องส์” ที่หากทำสำเร็จพี่น้องประชาชนแถบจรัลสนิทวงศ์คงต้องราบเรียบเป็นน่ากลอง มาจนถึงเมื่อเร็วๆ นี้มีข่าววิศวกรไทยจารกรรมข้อมูลตารางการบิน “ทักษิณ” ซึ่งคดีจบลงด้วยความโล่งอกโล่งใจของคนไทยตามที่เป็นข่าวเกรียวกราวมาแล้วพักใหญ่
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม นายจตุพร พรหมพันธ์ ออกมากล่าวว่ามีนายทหารชั้นผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งพยายามเร่งรัดคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ “ทักษิณ” ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
และเมื่อวันที่ 15 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ออกมาปฏิเสธข่าวรัฐบาลรู้ผลคดีล่วงหน้าและล็อบบี้ให้ตัดสินคดียึดทรัพย์ “ทักษิณ”
ยังมีนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ตอกลิ่มด้วยการนำเอกสารตราครุฑ ประทับคำสั่ง ลับมากและด่วนที่สุด ที่กต 1303/2555 กระทรวงการต่างประเทศ ถนนศรีอยุธยา กทม.10400 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 ลงลายมือชื่อนายกษิต ภิมรมย์ ส่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีใจความตอนท้ายในข้อ 2.4 ว่า “โดยการเร่งพิจารณาคดีต่างๆ ของทักษิณที่ยังค้างอยู่” จากข้อความนี้คงไปสะดุดใจใครหลายคน และคิดไปได้ว่า ฝ่ายบริหารเข้าไปก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรม และยัง “ทักษิณและคนเสื้อแดง” ออกมากล่าวว่า พวกกูทำอะไรก็ผิด แต่พวกมึงทำอะไรก็ถูก
จากข้อครหาเหล่านี้ทำให้สายตาคนไทยและต่างชาติจับตามองการตัดสินคดีนี้ชนิดไม่กระพริบตา การทำงานของกระบวนการยุติธรรมจึงต้องรอบคอบ ชัดเจนและรัดกุมในการพิจารณาคดี
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2552 ศาลนัดไต่สวน นายกล้านรงค์ จันทิก กับ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และล่าสุดจะมีการนัดสอบพยานคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านเพิ่มอีก ในวันที่ 12 และ 14 มกราคม 2553
ก่อนหน้านี้มาจนถึงปัจจุบัน มีเสียงเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ “ทักษิณ” ดังกระหึ่มแทบทุกเวทีที่คนเสื้อแดงไปปรากฏตัว ตามด้วยเสียง “โฟนอิน” ของอดีตนายกฯทักษิณ ประกอบกับข้อมูลที่นายจตุพรนำออกมา ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า “มีการตั้งธงคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ไว้แล้วล่วงหน้า”
ตามมาด้วยคำถามว่า หาก “ทักษิณ” ถูกยึกทรัพย์ ใครจะมีส่วนได้เงินสินบนหรือเงินรางวัลนำจับ และได้เท่าไหร่ จากยอดเงิน 7.6หมื่นล้านบาท
เรื่องการตัดสินคดีความ จะยึดหรือไม่ยึดก็ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่โปรดอย่าลืมว่า ก่อนหน้าที่ “ทักษิณ” จะลงเล่นการเมือง ได้มีนิตยสารฟอร์บส ประจำปี 2543 จัดลำดับ “ทักษิณ” ติดอันดับเศรษฐีโลก ด้วยทรัพย์สินที่ตีมูลค่าจากหุ้นรวม 54,000 ล้านบาท
หากจะคำนวณดูเล่นๆ นับตั้งแต่ปี 2543 ที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่ลงเล่นการเมืองกระทั่งถึงวันที่ครอบครัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ทำการซื้อขายหุ้น “ราคาของมันจะสูงขึ้นหรือลดลงมากน้อยเพียงใด”
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552
แรมโบ้อีสาน อริสมันต์และพี่น้องคนเสื้อแดงถูกล้อมที่ กกต.
วันที่ 23 ธันวาคม นายสุพร อัตถาวงศ์ (แรมโบ้อีสาน)และนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรองพร้อมด้วยพี่น้องคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง ถูกเจาหน้าที่ตำรวจล้อมที่หน้า กกต. ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด นนทบุรี และขณะนี้มีพี่น้องคนเสื้อแดงบริเวณใกล้เคียงเริ่มทยอยเข้าไปให้ความช่วยเหลือ
ขอเตือนภาครัฐด้วยความเคารพและห่วงใยเพราะห่วงบรรยากาศในช่วงเทศกาลแห่งความสุขจะเป็นเหมือนสงกรานต์ที่ผ่านมา ว่าการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63
หากรัฐบาลดำเนินการจับกุมตัวแกนนำหรือพี่น้องคนเสื้อแดง บรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่ในต่างจังหวัดและแกนนำหลักอาจเปลี่ยนเป้าหมายนำกองทัพมวลมหาประชาชนคนเสื้อแดงมาเคานท์ดาวน์ที่กรุงเทพฯ แทน เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่สามารถโทษใครได้ นอกจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดของรัฐบาลเอง
จตุพร แฉ แผนขจัดหรือกำจัด "ทักษิณ"
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ.ปฏิเสธไม่รู้เรื่องเครื่องบินขนอาวุธ เร่ง กระทรวงการต่างประเทศให้รีบเอาผิดอาญานายจตุพร พรหมพันธ์ข้อหาเผยแพร่เอกสารลับ
ในวันเดียวกัน นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บอกเอกสารลับของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ทำความสัมพันธ์ไทย-เขมรแย่ลง และอาจมีการบิดเบือนแต่ยอมรับว่าเอกสารรั่วจากกระทรวงการต่างประเทศ
นักวิชาการออกมารุมประณามนายจตุพร พรหมพันธ์ นำเอกสารลับของประเทศชาติมาเปิดเผย อัดสมควรถอดถอนพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.แนะให้นายจตุพรไปเปลี่ยนสัญชาติ
ด้านอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร "ทวิตเตอร์" ยันตนเองไม่ใช่ภัยหลัก ระบุรัฐดึงประเทศอื่นบีบ “กัมพูชา” ให้ถอดตนออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและที่ปรึกษาส่วนตัว ยังกล่าวฟันธงกรณีเงินบริจาค 258 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์ว่ารอดจากการยุบพรรค
คืนวันเดียวกันได้กล่าวในรายการ "เสียงจากทักษิณ" ว่าจะขอลุยล่าหาความเป็นธรรมทั้งในนรกและสวรรค์
และจะนำเอกสารที่แนบมาพร้อมเอกสารลับ ลงในเว็บไซน์ของตนในวันที่ 23 ธันวาคม
ด้านนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช.แดงทั้งแผ่น กล่าวว่าจะนำเอกสารลับส่วนที่ 2 จำนวน 9 หน้า ซึ่งมีตารางปฏิบัติการเป็นขั้นเป็นตอนมาเผยแพร่ในวันที่ 23 ธันวาคม และไม่ห่วงถูกดำเนินคดี หากนายกษิต ภิรมย์คิดว่าเอกสารนี้เป็นความลับของชาติเปิดเผยไม่ได้ แตสำหรับคนเสื้อแดงคิดว่าคือสิ่งที่ทำความเลวร้ายให้ประเทศเพื่อนบ้านและมุ่งหมายเอาชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ ซ้ำใจความบางตอนเข้าข่ายแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างเห็นได้ชัด
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวหาคนในกระทรวงการต่างประเทศปล่อยเอกสารลับรั่ว ยืนยันไม่พบสมเด็จฮุนเซนเพื่อปรับความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา
เอกสารลับที่นายจตุพร พรหมพันธ์ นำมาเปิดเผย มีหลายฝ่ายโดยเฉพาะคนเสื้อแดงมองว่าไม่ใช่ความลับของประเทศชาติ หากแต่เป็นแผนการ "กำจัดหรือขจัดทักษิณ" และยังโยงใยไปถึงทำลายความสัมพันธ์ระหว่าง "ทักษิณและสมเด็จฮุนเซน" ซึ่งมีสายสัมพันธ์ฉันท์มิตรกันมาช้านาน จึงมองว่าเป็นเรื่องความโกรธ เกลียด ชิงชังส่วนตัว แต่มีคนบางกลุ่มพยายามดึงเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องของประเทศชาติ
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เพื่อไทยให้คะแนนรัฐบาล 1 ปี สอบตก
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยแกนนำพรรคเป็นผู้แถลง โดยนายยงยุทธ กล่าวถึงผลงานรัฐบาลโดยอ้างถึงความเห็นของ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ได้วิจารณ์ไว้ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า 1 ปี ของรัฐบาลประสบความล้มเหลว ในขณะที่ความเห็นของสื่อมวลชนที่ตนมองว่ามีมุมมองที่ค่อนข้างคมนั้น ระบุว่านายกฯเป็นพรตในลัทธิเต๋าเป็นพรตในลัทธิเซน คือ สูงสุดกลับคืนสู่สามัญ กระบวนท่าสูงสุดคือไร้กระบวนท่า หมายความว่า การบริหารราชการของรัฐบาล คือ การไม่ต้องบริหาร
นอกจากนี้สื่อมวลชนบางฉบับยังระบุว่า รัฐบาลมีความสามารถในการแจก แถม ให้ แต่ความสามารถในการสร้างความสมานฉันท์นั้นไม่มี กู้ 4 แสนล.แต่ใช้กระตุ้น ศก.แค่ 5%
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
รัฐบาลไม่ได้ปรับปรุงสิ่งที่เคยตั้งข้อสังเกตไว้ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคลากรที่คุมงานด้านเศรษฐกิจ และประสิทธิภาพในการทำงาน ยกตัวอย่างชัดเจนอย่างเรื่องการแก้ไขจัดการปัญหามาบตาพุด ที่ไม่ได้จริงจังและส่งผลเสียให้นักธุรกิจทิ้งการลงทุนไปที่อื่นจนอาจเสียหายถึงกว่า 6 แสนล้านบาท
การก่อหนี้ของภาครัฐ อยู่ในอาการน่าเป็นห่วง ปัญหาการสร้างรายได้ยังเป็นปัญหาใหญ่ วันนี้ใส่เงินเท่าใดก็หายไปหมด เหมือนรูปแบบการพนัน หนี้สาธารณะมีตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว ตลอด 1 ปี นับจากเดือนธ.ค.2551 จนถึงพ.ย.2552 รัฐบาลสร้างหนี้ให้ประเทศไปแล้ว 530,597 ล้านบาท ทำให้ตัวเลขหนี้สาธารณะสูงเกินกว่าร้อยละ 60 เพราะอัตราการเติบโตของจีดีพีไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้
นอกจากนี้ยังมีปัญหาการใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินกู้จากพ.ร.ก. 4 แสนล้านบาทนำไปปิดหีบงบประมาณเพียง 5 หมื่นล้านบาท จึงมีเงินเหลือกระตุ้นเศรษฐกิจ 3.5 แสนล้านบาท แต่ปรากฏว่ามีเงินไปใช้ลงทุนจริงๆ แค่ 6,892.96 ล้านบาท เท่ากับรัฐบาลใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจไปแค่ 5% แต่นำไปเป็นงบก่อสร้างซ่อมถนน ทำให้เม็ดเงินไม่ลงไปถึงประชาชนอย่างแท้จริง จึงไม่มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้
สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกอย่าง คือ เรื่องเงินคงคลัง แม้จะมีตัวเลขถึง 274,600 ล้านบาท แต่อยู่ในรูปตั๋วเงินกู้ถึง 245,100 ล้านบาท มีเงินสดเพียง 29,500 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่งบรายจ่ายเงินเดือนประจำเดือนละกว่า 7 หมื่นล้านบาท
เรื่องการลดภาษีนั้น รัฐบาลควรพูดให้ชัดว่าจะมีแนวทางอย่างไร ไม่ใช่พูดอย่างเดียวแต่ไม่ดำเนินการ รวมทั้งนโยบายรัฐสวัสดิการนั้น ต้องใช้งบประมาณขนาดไหน ส่วนการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบรัฐบาลไม่ได้ศึกษารายละเอียดให้ดี หนี้จริงหนี้ปลอมมั่วกันไปหมด
สรุปว่า 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลย่ำอยู่กับที่ไม่เดินไปไหนเลย บางครั้งยังเดินถอยหลัง ถือว่าล้มเหลว นโยบายที่ประกาศไว้ก็ไม่ได้ทำ หรือทำไปบ้างแต่ไม่สำเร็จ ของเก่ายังไม่ได้ทำ ของใหม่ก็พูดไปเรื่อย ไม่ว่าการเสนอให้มีภาษีที่ดิน จนบัดนี้ก็ยังเงียบอยู่ ทั้งที่เสนอมาเกือบปี เสนอรัฐสวัสดิการก็ยังไม่ชัดเจน เสนอลดภาษี ก็ไม่รู้ดำเนินการหรือเปล่า หรือแม้แต่เรื่องการประกันราคาก็ยังสับสนว่าประกันราคาหรือประกันรายได้
ถ้าดูข้อมูลจากไอเอ็มเอฟ และเอดีบีที่ได้รับความเชื่อถือนั้น ยังบอกว่าการฟื้นตัวของไทยในปี 2553 ต่ำสุดในภูมิภาค และจีดีพีขยายตัวเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนแล้ว ตัวเลขของไทยติดลบมากที่สุด ทั้งที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาน้อยที่สุด "ชักศึกเข้าบ้านรัฐบาลชุดนี้ทำได้เก่งจริงๆ"
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
อ่านพาดหัวหนังสือพิมพ์ว่า รัฐบาลได้คะแนนบีบวก ไม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยห้องแถวไหนไปให้คะแนน แต่พวกผมยืนยันว่าตกแน่ รัฐบาลนี้พูดเก่ง มีศิลปะในการปั้นน้ำ
การให้คะแนนด้านเศรษฐกิจ ได้คะแนนเกรด C หรือเกือบตก เพราะวันนี้เงินในกระเป๋าประชาชนลดลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล้มเหลว ส่วนการแก้ปัญหาความแตกแยกในสังคม รวมทั้งนโยบายด้านความมั่นคง การเมืองนั้น รัฐบาลได้เกรด D หรือคาบเส้น
สำหรับปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น พบว่ามีความเฟื่องฟูอย่างมาก กฎเหล็ก 9 ข้อตอนนี้น่าจะเหลือเพียง 2-3 ข้อเท่านั้น จึงถือว่าได้เกรด F หรือสอบตก
ขณะเดียวกันขอชื่นชมรัฐบาลชุดนี้ใน 4 เรื่อง
1.พูดเก่งจนบางครั้งพูดเกินความจริง
2.กู้เก่ง
3.เพาะศัตรูเก่ง จนตอนนี้มีศัตรูรอบบ้านไปหมดแล้ว และ
4.หาเหาใส่หัวเก่ง จนตอนนี้เหาเต็มศีรษะ
เรื่องของการชักศึกเข้าบ้านรัฐบาลชุดนี้ทำได้เก่งจริงๆ 2 มาตรฐานเลือกปฏิบัติกับประชาชน
นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.จ.อยุธยา พรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน
นโยบายด้านการเมืองของรัฐบาลถือว่าล้มเหลว ปัญหามาจากกระบวนการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลชุดนี้ไม่ชอบธรรม ไม่ใช่พรรคที่มีเสียงข้างมากที่สุดในสภา เป็นการทำลายจารีตประเพณี เกิดการทรยศหักหลังและเกิดงูเห่า จนเป็นประเพณีใหม่ เช่น ตัวส.ส.อยู่พรรคหนึ่งแต่ใจไปอยู่อีกพรรคหนึ่ง ทำให้การลงมติมีผลกระทบ นี่คือจุดล้มเหลว นำไปสู่ความแตกแยกของส.ส.อย่างไม่เคยมีมาก่อน
จุดนี้ทำให้รัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้ เพราะนายกฯต้องตอบแทนบุญคุณกลุ่มทุนและผู้สนับสนุนผลประโยชน์ทางการเมืองด้วยการตั้งรัฐมนตรีที่ขาดความรู้ความสามารถ ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้
รัฐบาลชุดนี้ใช้อำนาจเกินขอบเขต ไม่เป็นธรรม ทำลายความปรองดอง โดยเฉพาะการใช้กำลังทหาร อาวุธ สลายการชุมนุมของประชาชนอย่างรุนแรงจนบาดเจ็บล้มตาย ละเลยการบังคับใช้กฎหมาย และเลือกปฏิบัติกับประชาชน 2 มาตรฐาน คนไปปิดยึดสนามบินไม่ถูกดำเนินคดี โยนความรับผิดชอบการสลายการชุมนุมให้ฝ่ายนิติบัญญัติ ตั้งกรรมาธิการตรวจสอบ แทนที่จะใช้ความยุติธรรมแก้ปัญหา
วันนี้เมื่อเวลานายกฯและครม.เดินทางลงพื้นที่ ก็มีผู้คุ้มกันเป็นพันคน ทั้งทหาร ตำรวจ กีดกันประชาชน ผลักประชาชนไปอยู่คนละฝั่ง ทำให้เกิดความแตกแยกขัดแย้งในสังคมอย่างกว้างขวาง นายกฯไร้ภาวะผู้นำ ไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอในการแก้ไขความขัดแย้ง ซ้ำยังขยายความแตกแยกรุกราน ก้าวล่วงประเทศเพื่อนบ้าน กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นำไปสู่ภาวะสงคราม ซึ่งไม่เคยมีนายกฯของประเทศไทยคนใดสร้างผลกระทบในด้านนี้ เป็นการทำผิดพลาดซ้ำซากที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ถือว่าล้มเหลวอย่างไม่น่าให้อภัย สมควรคืนอำนาจให้กับประชาชน
หากผมให้คะแนนด้านการเมืองก็ต้องให้เอฟหรือสอบตก ทุจริตคอร์รัปชั่นเฟื่องฟูมากที่สุด
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย หัวหน้าสำนักงานปราบโกง
1ปี ที่ผ่านมาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เป็นยุคที่การทุจริตคอร์รัปชั่นเฟื่องฟู ซึ่งองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ให้ประเทศไทยได้คะแนน 3.4 จากคะแนนเต็ม 10 อยู่อันดับที่ 84 จากทั้งหมด 180ประเทศทั่วโลก จากที่เคยอยู่อันดับที่ 80 สมัยนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มีการทุจริตเพิ่มมากขึ้น
โครงการต่างๆ ของรัฐบาลพบการทุจริตมากมาย ไม่ว่าโครงการชุมชนพอเพียง เอาโครงการที่ในหลวงพระราชทานมาทำให้เกิดการทุจริตขึ้น รัฐบาลปล่อยให้ราคาตู้น้ำเท่ากับบ้านน็อกดาวน์ โครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคันซึ่งงบประมาณตั้งแต่ต้นโครงการจนจบ หากคิดในราคาเท่ากันจะได้รถไฟฟ้า 1 สาย
นอกจากนี้ยังมีโครงการต้นกล้าอาชีพ บอกว่าประสบความสำเร็จ แต่เราตรวจสอบพบว่ามีการยักยอกเงินจากโครงการนี้จำนวนมาก ยังมีโครงการโกงชาวนา แจกข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษที่สุดท้ายเป็นข้าวปลอมปน โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์สาธารณสุข ที่เครื่องอัลตราซาวด์ ราคาเท่ารถยนต์ 1 คัน โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์ที่โกงนักเรียน โครงการทุจริตจัดซื้อหัวรถจักร โดยบริษัทที่มีคนนามสกุลเดียวกับคนในรัฐบาล โครงการทุจริตเช่ารถเข็นสนามบินสุวรรณภูมิ 566 ล้านบาท ซึ่งราคาต่อคันซื้อมอเตอร์ไซค์ได้ 2 คัน
ทำให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ทุจริตเฟื่องฟูอย่างไร ซึ่งงบประมาณ 1 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ การใช้งบประมาณ 1.01 แสนล้านบาทนั้น พบว่ามีเงินตกหล่นระหว่างทางถึง 6.3 หมื่นล้านบาท เป็นการทุจริตที่เฟื่องฟูมากที่สุด
การทุจริตทั้งหมดเราจะรวบรวมเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจแน่นอนรวมทั้งการตอบแทนกลุ่มทุนต่างๆ ด้วยตำแหน่งรัฐมนตรี ทำให้การบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง มีการทุจริตคอร์รัปชั่นมากที่สุด
ที่มี พรรคเพื่อไทย /www.ptp.or.th
เพื่อไทยยื่น สตช.ปลดสมคิด บุญถนอมและพวก
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม คนของพรรคเพื่อไทยกล่าวว่าจะไปยื่นหนังสือที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อขอให้ พล.ต.ท. สมคิด บุญถนอมและพวกออกจากราชการหลังเป็นผู้ต้องหาอุ้มฆ่านายมูฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุฯ และหาก พล.ต.อ.ประทีป ตันประเสริฐ นิ่งเฉยไม่ดำเนินการใดๆ จะโดนมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
คุณชายสุขุมพันธ์ปลดญาตินายกฯ พ้นตำแหน่งเลขาฯ
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงนามปลดนายชีวเวช เวชชาชีวะ ออกจากตำแหน่งเลขานุการผู้ว่ากทม. แล้วให้หลานสาวทนายปชป.นั่งแทน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลทำงานมีปัญหากันตลอด
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวยืนยันว่าการปลดนายชีวเวช ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นญาติกับนายชีวเวช แต่ต้องการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมในการบริหารงาน
ด้านนายชีวเวช ญาตินายกฯ สวนกลับไม่ได้รู้สึกน้อยใจ ตรงข้ามกลับหายอึดอัดใจ ฉุนที่ผ่านมาคุณชายสุขุมพันธ์ให้สัมภาษณ์ตำหนิการทำงานของรัฐบาลทุกครั้งที่ออกงาน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ออกมาพูดถึงกณีนี้ว่า คุณชายสุขุมพันธ์ไม่ไว้หน้า ปลดญาตินายกรัญมนตรีพ้นเลขาฯ ผู้ว่าฯ กทม. แต่ไม่ใช่ปัญหาความมั่นคงตนจึงไม่เข้าไปยุ่ง
"สดศรี" กลับลำคดีเงินบริจาค 258 ล้าน.
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม นางสดศรี สัตยธรรม กลับลำโดยให้สัมภาษณ์ว่าถ้านายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ยกคำร้องคดีเงินบริจาค 258 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์เรื่องจบ โดยไม่ต้องนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อขอมติใหม่ คาดว่าสัปดาห์นี้รู้ผล
ด้านนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวขอสัญญาใจพี่น้องเสื้อแดงทันทีที่ กกต. มีมติยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะไปพบกันที่หน้าสำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เช่นเดียวกับนายจตุพร พรหมพันธ์ หนึ่งในแกนนำ ออกมากล่าวเชิญชวนพี่น้องคนเสื้อแดงไปเยี่ยม กกต.สัปดาห์หน้าเช่นกัน
เย็นวันที่ 22 ธันวาคม นายอภิชาต ประธาน กกต.ขอเลื่อนเวลาตัดสินคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ออกไปเป็นต้นปีหน้า ปัดสนิทกับคนในพรรคประชาธิปัตย์ และไม่มีใบสั่งคดีเงินบริจาค 258 ล้าน
ด้านนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ชี้เหตุลงมติยุบพรรค ปชป. เพราะหลักฐานชัดเจน ทั้งที่เอกสารหลักฐานชัดเจนแล้ว แต่กลับใช้วิธีการช่วยกันมาเล่นละคร ท้าทายขอให้มีมติเลยว่าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์
มีหลายฝ่ายสงสัยและมีคำถามตามมาว่าการที่นางสดศรี สัตยธรรม หนึ่งในคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมากล่าวเช่นนั้นเป็นการโยนความรับผิดชอบไปให้ประธาน กกต.เพียงคนเดียวหรือเปล่า และหากเกิดการฟ้องร้องในภายหลังคณะกรรมการ กกต. ท่านอื่นๆ จะร่วมรับผิดชอบในการตัดสินใจของนายอภิชาต สุขขัคคานนท์ด้วยหรือไม่
และถ้าไม่ ท่านประธาน กกต. ซึ่งมีประวัติการทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตมานานนับสิบปีจะรับผิดชอบในการตัดสินใจครั้งนี้เพียงคนเดียว ไหวหรือเปล่า
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ชัยสิทธิ์แนะ สุรยุทธิ์เจรจาทักษิณ เรื่องขัดแย้งจบ
พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ระบุมั่นใจหาก พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณเปิดการเจราจริง เรื่องขัดแย้งต่างๆ จบแน่ เตือนหากยังดื้อต่อไปใกล้ถึงจุดจบแล้ว
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ (บิ๊กจิ๋ว) หนุนทุกฝ่ายเจรจาสร้างสมานฉันท์แต่ต้องไม่ใช่มอง “ทักษิณ” เป็นเหตุแห่งปัญหา
ด้านนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังดื้อบอกให้ทักษิณกลับมารับโทษ
มีคำถามจากนักข่าวว่าหากมีการเจรจาให้ความเป็นธรรม พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้กลุ่มเสื้อแดงหยุดเคลื่อนไหวหรือไม่นั้น นายนพดล ปัทมะกล่าวว่า ต้องมีหลัก 3 ข้อในการเจรจา
1.ต้องนำรัฐธรรมนูญ 40 กลับมาใช้
2.ยุบสภา
3.ต้องมีการเลือกตั้งใหม่
และทุกฝ่ายต้องให้สัตยาบรรณยอมรับผลการเลือกตั้งนั้น ตอนนี้เป็นการคุกรุ่นทางการเมืองเหมือนภูเขาไฟต้องการการระเบิด พ.ต.ท.ทักษิณรับรองว่าจะไม่แก้แค้น หากทุกอย่างยุติตามกฎหมาย ท่านไม่ใช่เด็กดื้อเป็นผู้ใหญ่พอที่พร้อมจะรับฟังเพื่อแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองสภาได้
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พลเรือเอก กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ ออกมาหนุนข้อเสนอเจรจาทุกฝ่ายเชื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี มิฉะนั้นบ้านเมืองเดินต่อไปไม่ได้
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาร้องหามาตรฐานประเทศชาติแล้วกร้าวใส่ว่ารับไม่ได้กับ 3 ข้อเสนอ ของ“ทักษิณ” อ้างขัดมาตรฐาน ชี้ยุบสภาได้หากเสื้อแดงนอกกฏหมายหยุดเคลื่อนไหว
ประเด็นนี้คงมีหลายฝ่ายอยากฝากเตือนนายสุเทพด้วยความเป็นห่วง การออกมากล่าวเช่นนี้เหมือนเป็นการยั่วยุและมีเจตนาผลักดันให้กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งขณะนี้มีอยู่ทั่วทุกภาคส่วนและแพร่กระจายอย่างกว้างขวางไปทั่วภูมิภาค ท่านกำลังผลักให้คนเหล่านั้นเป็นปรปักษ์เป็นพวกนอกกฏหมาย และอาจเกิดปฏิกริยาตอบโต้นั่นคือความเกลียดชังรัฐบาลและมองท่านเป็นศัตรูเหมือนที่ท่านผลักดันให้เขาเป็น
วันที่ 22 ธันวาคม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ออกมาแถลงผิดหวังสื่อเสนอข่าวคลาดเคลื่อนปัดเจรจา "ทักษิณ" ไม่มีอำนาจ
ในวันเดียวกัน คุณวาสนา นาน่วม พิธักร ลับ ลวง พลาง บอกรู้สึกผิดหวังในตัว พล.อ.สุรยุทธ์ที่กล่าวหาบิดเบือนข่าว เป็นพวกเดียวกับ"ทักษิณ" และทวงบุญคุณที่มีกับตัวเองในอดีต
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปิดประตูเจรจาอ้าง “ทักษิณ” ต้องติดคุกก่อน และยังกล่าวอีกว่า หนึ่งปีสังคมไทยก้าวข้ามพ้นชื่อทักษิณ ชินวัตรไปแล้ว
คงมีหลายฝ่ายอยากถามท่านนายกว่า ความเข้าใจของท่านนั้นถูกต้องชัดเจนแล้วหรือ น่าจะลองกลับไปถามประชาชนว่าขณะนี้ก้าวพ้นชื่อ “ทักษิณ” หรือว่าติดหล่มลึกลงไปทุกที เนื่องจากเวลานี้หลายฝ่ายมองว่ามีเสียงเรียกหา “ทักษิณ ชินวัตร” และเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ “ทักษิณ” ดังกระหึ่มไปทั่ว ไม่แต่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แม้แต่ในต่างประเทศก็เริ่มมีเสียงเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ “ทักษิณ” เช่นกัน หนำซ้ำกลุ่มคนเสื้อแดงในแดนไกลยังผุดขึ้นและบานเป็นดอกเห็ดอีกด้วย
อยากฝากเตือนท่านนายกในฐานะคนไทยคนหนึ่ง โปรดหันกลับไปถามประชาชนสักนิดแล้วท่านจะเห็น อย่าฟังแต่เสียงคนข้างกายจนมองข้ามความเป็นจริง เพื่อท่านจะได้หาทางแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ใช่ดันทุรังยึดติดกับอำนาจที่ท่านได้มาอย่างไม่สง่างามดั่งที่หลายฝ่ายกล่าวหา
กษิตให้สัมภาษณ์เรื่องเอกสารลับ
วานนี้ (20 ธันวาคม) นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเอกสารลับไม่มีแผนลอบฆ่าอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร แล้วยังกล่าวต่อไปอีกว่า สมเด็จฮุนเซนรักทักษิณมากกว่าห่วงความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ
เรื่องนี้อาจมีหลายฝ่ายมองว่าการออกมาวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีของต่างประเทศเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเพราะอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ปริร้าวอยู่แล้วร้าวลึกลงไปอีก และที่สำคัญ สมเด็จฮุนเซนแห่งกัมพูชา เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วหลายสมัย ย่อมมีความเชี่ยวชาญทางการเมือง ท่านย่อมมองออกว่าอะไรที่เป็นคุณ เป็นโทษแก่ประเทศชาติ คงไม่ต้องให้รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยชี้แนะ
นายเตช บุนนาค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวในรายการเอ็กซ์คลูชีฟ ทางสถานีข่าวเอฟเอ็ม 100.5 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ว่าอันตรายเอกสารลับของทางราชการถูกเปิดเผย ทำให้เขมรรู้ไส้พุงการบริหารงานของไทยและทำให้ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศร้าวลึกลงไปอีก
"ทักษิณ" บอกจะโหลดเอกสารลับให้คนอ่านจุใจ
ทักษิณ ทวิตบอกจะโหลดเอกสารลับกระทรวงการต่างประเทศ ลงในเวป ให้คนได้อ่านกันอย่างจุใจ ในวันพรุ่งนี้ ด้านจตุพรเลื่อนเปิดเอกสารลับ ยันแผนเผด็จทักษิณ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้ยังคงอาศัยอยูที่ประเทศกัมพูชาเพื่อทำหน้าที่ที่ปรึกษาด้าน เศรษฐกิจ ได้โพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์ บอกว่า ตอนนี้สบสบายดีแต่เพิ่งได้พัก เพราะมีเพื่อนๆมาเยี่ยมจำนวนมาก แต่อีก 2 วันงานก็จะเยอะเช่นเดิม
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวถึงเอกสารลับ กระทรวงการต่างประเทศ ที่นาย จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำเสื้อแดงนำออกมาเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยตอบคำถามของแฟนคลับที่ทวิตถาม และอยากเห็นหนังสือเอกสารลับว่า จะโหลดหนังสือฉบับนี้ลงเวปเพื่อให้ประชาชนได้อ่าน จะได้รู้ว่าคนบ้าอำนาจมีจริง "พรุ่งนี้จะ load ใส่ web ผมให้อ่านให้จุใจจะได้รู้ว่าคนบ้ามีอำนาจมีจริงครับ"
จตุพรเลื่อนเปิดเอกสารลับ ยันแผนเผด็จทักษิณ
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยว่าในวันพุธที่ 23 ธ.ค.นี้ ตนจะนำเอกสารลับชุดใหม่ของกระทรวงต่างประเทศออกมาเปิดเผยเพิ่มเติม จากเดิมที่กำหนดจะเปิดเผยวานนี้
ทั้งนี้ การเลื่อนไม่ใช่เป็นเพราะหลักฐานไม่ชัดเจน แต่เพื่อจะได้สอดรับการแถลงผลงานรัฐบาลที่จะมีขึ้นในวันดังกล่าว ซึ่งจะทำให้เห็นว่าใครพูดจริง ใครพูดเท็จ ซึ่งเอกสารชุดใหม่ครั้งนี้มีจำนวน 9 แผ่น เป็นชุดที่มีเนื้อหาและถ้อยคำระบุชัดเจนว่า กระทรวงต่างประเทศ โดยเฉพาะนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สั่งการเพื่อให้ดำเนินการอย่างไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ส่วนการที่นายกษิตออกมายอมรับว่าเป็นเอกสารจริง แต่เป็นเพียงการประเมินสถานการณ์ นายจตุพร บอกว่า คำที่ใช้ "ประเมิน" ไม่ใช่แน่นอน แต่เป็น "แผนการ" ซึ่งเอกสารชุดหลังที่จะเปิดเผยนั้น จะทำให้เห็นว่าเรื่องนี้คือแผนการที่ถูกวางไว้แล้ว
นอกจากนี้ นายจุตพร ยังกล่าวถึงการถูกโฆษกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตำหนิว่า พฤติกรรมเหมือนพระยาออกญาจักรีที่เปิดประตูเมืองอยุธยาให้พม่าเข้ามาเผา เมือง โดยยืนยันว่า ตนไม่ใช่คนขายชาติ และไม่ตอบโต้คนที่ไม่มีราคา
จากกรุงเทพธุรกิจ/new.sanook.com
อดีต คมช. เชื่อสุรยุทธ์คิดไว้ก่อนเสนอเป็นตัวกลางเจรจา "ทักษิณ"
พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่น 3 ข้อเสนอก่อนที่จะพูดคุยกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ว่า เราควรอยู่กับปัจจุบันเพื่อทำให้อนาคตดีขึ้น ซึ่งสามารถนำอดีตมาคิดเป็นส่วนประกอบได้ แต่อย่ายึดติดจนส่งผลกระทบกับปัจจุบัน
"เชื่อว่าการที่พล.อ.สุรยุทธ์ เสนอที่จะเป็นตัวกลางเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ น่าคิดอะไรในใจไว้ก่อนแล้ว ซึ่งทางที่ดีต้องไปสอบถามกับพล.อ.สุรยุทธ์ ว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอทั้ง 3 ข้อ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ ขณะที่บรรดาอดีต คมช.ยังไม่มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือ แต่ยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย"
ด้าน พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรี กล่าวว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ทราบเรื่องดังกล่าวจากข่าวในหนังสือพิมพ์แล้ว แต่ยังไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพล.อ.เปรม สื่อควรไปสอบถามจาก พล.อ.สุรยุทธ์ หรือบุคคลใกล้ชิดจะดีกว่า
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยื่นข้อเสนอ 3 ข้อนั้น พล.ร.อ.พะจุณณ์ ปฏิเสธที่จะให้ความชัดเจน เพียงแต่บอกว่าเห็นด้วยกับรัฐบาล
ข่าวจาก มติชนออนไลน์
บทวิเคราะห์
หากข่าวที่ออกมาว่าจะมีการเจรจาเป็นเรื่องจริงและเดินหน้าไปอย่างราบรื่นรวดเร็ว ผลของการเจรจาลงเอยด้วยดีกับทุกฝ่าย ประชาชนคนไทยคงโล่งอกโล่งใจไปตามๆ กัน หลังจากเกรงว่าจะมีการนองเลือดในไม่ช้า
แต่อาจมีบางคนคลางแคลงใจว่า ใช้วิธีนี้เพื่อต้องการยื้อเวลา บั่นบอนความน่าเชื่อถือและชอบธรรมในการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือไม่ หากแนวคิดเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นอันตรายต่อทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดงไม่น้อย
เนื่องจากคดีความต่างๆ ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและแกนนำคนเสื้อแดงที่ออกมาพร่ำพูดตลอดมาว่า 2 มาตรฐาน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ คนเสื้อเหลืองและพรรคประชาธิปัตย์ และเพราะเหตุนี้ฝ่ายกุมอำนาจรัฐจึงมีความได้เปรียบ ในขณะที่บุคคลอีกกลุ่มเสียเปรียบ
และหากผู้ได้เปรียบออกมาบอกว่าพร้อมตั้งโต๊ะเจรจา แต่ทำไปโดยไม่มีความจริงใจ จะเป็นภัยกับคนอีกกลุ่มเพราะจะหมดความชอบธรรมในสายตาประชาชนและอาจเสียแนวร่วมบางส่วนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และหากอนาคตมีการเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมต่อสู้ในภายหลังจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง เพราะไม่แน่ใจว่าสู้เพื่อจุดประสงค์ใดระหว่าง "ประชาธิปไตยหรือสู้เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง"
พึงระมัดระวังเรื่องการเจรจา ควรจะอยู่ในกรอบที่ทุกฝ่ายพึงรับได้ ส่วนเรื่องการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ถือว่ามีความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย แต่คดีความต่างๆ ที่กำลังงวดเข้ามาทุกขณะและมีข่าวผ่านสื่อหลายแขนงว่ารัฐบาลและผู้มีอำนาจบางคนเตรียมประสานกับกระบวนการยุติธรรมตามหนังสือลับของกระทรวงการต่างประเทศ ทำให้หลายฝ่ายคลางแคลงใจเกรงจะมีการตั้งธงยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและบั่นทอนควมน่าเชื่อถือของกลุ่มคนเสื้อแดง
การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ด้วยฝีมือคณะราษฎร นำโดย พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) พ.อ. พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) พ.อ.พระยาฤทธิ์อัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) และหลวงประดิษฐ์มนูญธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475
ในมิติของเวลาปัจจุบันความหมายของประชาธิปไตยตามจินตภาพของโลกตะวันตก มีหลักการสำคัญ 2 ประการคือ หลักอธิปไตยและหลักเสรีภาพ
หลักอธิปไตย คือ หลักการที่อำนาจสูงสุดในทางการเมืองจะต้องเป็นของประชาชน ดำเนินไปโดยประชาชน และเพื่อประชาชนหลักเสรีภาพ คือ การที่รัฐจะต้องปกครองโดยรักษาสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จะต้องดำเนินการให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะสิทธิในด้านความคิด ความเชื่อ และยอมให้ประชาชนทุกกลุ่มมีสิทธิเสนอแนวความคิดของตน แม้จะมีความแตกต่างกับฝ่ายรัฐบาลก็ตามที
ประชาธิปไตย เป็นคำหนึ่งซึ่งมีความหมายคงที่ตายตัว และในสังคมไทยมักมีคำตอบค่อนข้างสำเร็จรูป อาทิ ประชาธิปไตยคือการมีรัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตยคือการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประชาธิปไตยคือระบบที่มีพรรคการเมือง และประชาชนมีหน้าที่ต้องไปเลือกตั้ง ประชาธิปไตยคือการไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียงต่างๆ เหล่านี้
แต่ถ้าหากคนไทยไม่โกหกตัวเอง ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันอย่างมโหฬาร บางแห่งอาศัยระบอบอุปถัมภ์ระบบเส้นสายแบบญาติมิตรพี่น้อง จึงไม่แปลกที่จะมีผู้มองนักการเมืองเป็นพวกที่น่ารังเกียจ เป็นอาชีพที่เข้าไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นสนามเลือกตั้งระดับท้องถิ่นหรือการเลือกตั้งใหญ่ก็ตามที
และต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งในแต่ละครั้งมีการใช้ทุนมหาศาล ถึงแม้ผู้สมัครจะเน้นนโยบายพรรคการเมืองที่ตนสังกัดนำออกมาโฆษณา ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจ แต่ก็ไม่ใคร่ได้ผลเท่าใดนัก เนื่องจากการจะเชิญชวนพี่น้องประชาชนซึ่งต่างก็มีภาระหน้าที่ต้องทำงานหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องโดยเฉพาะชาวบ้านในชนชทผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนไทย เรื่องจะให้ไปนั่งฟังการปราศรัยนั้นยากเย็นแสนเข็ญ เหตุเพราะกว่าจะเสร็จงานกลับถึงบ้านก็ค่ำมืด จึงอยากพักผ่อนอยู่กับบ้านแทนที่จะไปทนนั่งหลังขดหลังแข็งอดหลับอดนอนไปฟังการปราศรัย
บรรดาหัวคะแนนและผู้ลงสมัครเข้ารับการเลือกตั้ง จึงต้องสรรหายุทธิวีธีต่างๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากประชาชน ทั้งมีการจัดหารถขนคน จ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาเพื่อเชิญชวนพี่น้อประชาชนออกไปร่วมฟังปราศรัย จึงทำให้การเลือกตั้งในแต่ละครั้งมีต้นทุนในการใช้จ่ายมหาศาล ผลสุดท้ายจึงใช้วิธีซื้อสิทธิ์-ขายเสียง เพราะนอกจากจะรวดเร็วและไม่ต้องลงแรงให้เหนื่อยยากแล้ว ยังแน่ใจได้อีกว่า จะได้รักการเลือกตั้งอย่างแน่นนอน
และนั่นคือการเลือกตั้งในอดีตที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตื่นตัวทางการเมือง ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตย” เข้าไม่ถึงนโยบายพรรคการเมืองที่ผู้สมัครและบรรดาหัวคะแนนพรรคพยายามโฆษณาประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อต่างๆ ก่อนถึงวันเลือกตั้ง
ผิดกับปัจจุบันประชาชนเริ่มหันมาให้ความสนใจและมีความรู้ความเข้าใจการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น หลังจากมีการรณรงค์ผ่านสื่อหลายแขนง ทั้งสื่อภาครัฐ และสื่อเสรีมากมายทั้งวิทยุชุมชมสื่อสิ่งพิมพ์และอินเทอร์เน็ต
ทำให้ประชาชนเริ่มเข้าใจว่าหากยอมให้มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เมื่อผู้สมัครท่านนั้นหรือพรรคนั้นมีโอกาสเข้าไปบริหารบ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นการเลือกในตั้งระดับท้องถิ่นหรือระดับประเทศ นอกจากจะทำให้ประเทศชาติไม่พัฒนาแล้วยังอาจมีการถอนทุนคืนในภายหลังอีกด้วย
ปัจจุบันการเลือกตั้งจึงเน้นที่นโยบายพรรคการเมืองที่ผู้สมัครสังกัดและตัวบุคคลว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมน่าเชื่อในสายตาประชาชนมากน้อยเพียงใด จึงทำให้บรรดาพรรคการเมืองต้องสรรหานโนบายที่คิดว่าดีมาเสนอพี่น้องประชาชน และเมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้าไปแล้วก็ต้องทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ฝีไม้ลายมือให้ได้เห็นผลงานตามนโยบายที่ได้โฆษณาประชาสัมพันธ์เอาไว้ ไม่เช่นนั้นเลือกตั้งครั้งหน้ามีหวังหมดสิทธิ์
ยกตัวอย่างในภาคอีสานจากผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งล่าสุดที่จังหวัดศรีสะเกษและสกลนครที่พรรคเพื่อไทยชนะพรรคภูมิใจไทยอย่างถล่มทลาย นั่นต้องยอมรับว่าประชาชนในภาคอีสานยังศรัทธาผลงานของพรรคไทยรักไทยเดิมอย่างเหนียวแน่น ถึงแม้นักการเมืองบางท่านจะแยกตัวไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทยบ้างแล้วก็ตามที
และการเลือกตั้งซ่อมอีกครั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2553 ที่จังหวัดมหาสารคามและปราจีนบุรีจะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่าพี่น้องประชาชนจะยังศรัทธานโยบายพรรคหรือว่าตัวบุคคลอีกหรือไม่
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ผู้เรียกร้องหาประชาธิปไตยควรจะหยุดค่านิยมเก่าๆ นั่นคือการซื้อสิทธิ์ขายเสียง แต่หากมีผู้สมัครคนใด พรรคใด นำข้าวของเงินทองไปแจกจ่าย พี่น้องประชาชนควรหาวิธีการสั่งสอนบรรดานักการเมืองล้าหลังด้วยการจ่ายเงินก็รับมา แต่เมื่อถึงเวลาเข้าคูหาเลือกตั้ง ท่านจงพิสูจน์ให้คนพวกนั้นรู้ว่า กูจะไม่เลือกมึงเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์ของชาติอีกต่อไป
วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552
สุรยุทธ์พร้อมคุยทักษิณ
วานนี้ (19 ธันวาคม)พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมคุยกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เพื่อแก้ปัญหาและเป็นรุ่นพี่ที่ดูแลรุ่นน้องเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
วันนี้ (20 ธันวาคม)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าพร้อมคุยกับอดีตนายกฯ ทักษิณ หากยอมกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ยืนยันไม่ทำสงครามกับเขมร
วันเดียวกัน อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้ทวิตเตอร์ว่าเคยคุยกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลนนท์แล้วสองหน ย้ำสมานฉันท์ฝ่ายเดียวไม่ได้ พร้อมกับถามกลับว่าใครให้พูดหรือไม่
ทางด้าน พรรคเพื่อไทย ออกมาระบุเอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศขัดรัฐธรรมนูญ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ทำเกินอำนาจหน้าที่
มีหลายฝ่ายเรียกร้องให้ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" กลับมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมกันนั้นก็ได้ยินอดีตนายกทักษิณและคนเสื้อแดงตอบโต้ผ่านสื่อหลายครั้งว่า “ทักษิณ” จะกลับมาก็ต่อเมื่อประเทศชาติมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และกระบวนการยุติธรรมเป็นไปตามหลักสากล
ด้านนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดง ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มอำมาตย์กำลังพยายามล๊อบบี้ กกต. ให้ยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วยคะแนน 4 ต่อ 1
23 ธ.ค.แรมโบ้พาเสื้อแดงบุกกระทรวงทรัพยากรฯ
พุธที่ 23 ธันวาคม นายสุพร อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน จะนำทีมคนเสื้อแดงบุกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ประท้วงนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงละเว้นหน้าที่กรณีที่ดินเขายายเที่ยง
และในวันที่ 11 มกราคม 2553 แรมโบ้อีสานประกาศ จะนำประชาชนนับหมื่นบุกยอดเขายายเที่ยง ปลูกกระท่อมที่อยู่อาศัยตั้งชื่อว่าหมู่บ้านสองมาตรฐาน
ด้าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี กล่าวไม่หวั่นแกนนำคนเสื้อแดงนำชาวบ้านบุกเขายายเที่ยงหักร้างถางพงเพื่อหาที่ทำกิน 11 มกราคม ปีหน้า
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2552 นายสุพร อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสานออกมาแสดงความดีใจแทนประชาชน เนื่องจากหัวหอกจัดสรรที่ดินทำกินให้เกษตรกรยากจนที่เขายายเที่ยงในวันที่ 11 มกราคม 2553
สดศรีโวยคดีเงินบริจาค 258 ล้าน ของ ปชป.
วานนี้ 18 ธันวาคม) นางสดศรี สัตยธรรม หนึ่งในคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวว่าหากประธาน กกต. มีความเห็นยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยไม่ขอมติจากคณะกรรมการ กกต. ท่านอื่นๆ ก็ให้ท่านรับผิดชอบโดนฟ้องไปคนเดียว
วันนี้ 19 กันยายน)นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และนายสุพร อัตถาวงศ์หรือแรมโบ้อีสาน ออกมาเตือนนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ถ้ายกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์เตรียมตัวรับกองทัพมหาชนคนเสื้อแดงเยือน กกต. ได้เลย
วันนี้ (20 ธันวาคม)แรมโบ้อีสานได้ฝากถามประธาน กกต. ว่าที่ไม่ได้ตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นเพื่อนกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน หรือเพราะได้รับงบประมาณเพิ่มจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ด้านพรรคเพื่อไทยกล่าวเตือนนายอภิชาติอย่าเห็นแก่เพื่อนชื่อนายบัญญัติ บรรทัดฐาน รองประธานที่ปรึกษาพรรค จนไม่กล้ายุบพรรคประชาธิปัตย์เพราะสุดท้ายจะเจอมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
เอกสารลับของ ก.ต ความลับของประเทศ
วันนี้ (19 ธันวาคม) นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมากล่าวว่าคนที่แฉเรื่องเอกสารลับมีความผิด นายจตุพร พรหมพันธ์ต้องรับผิดชอบ ด้านกระทรวงการต่างประเทศออกมาชี้แจงว่านั่นเป็นเพียงแนวปฏิบัติ
นายคำรพ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกอัคราชทูตไทยประจำกัมพูช กล่าวยืนยัน กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้มีคำสั่งล้วงความลับเขมร ส่วนเรื่องการติดตามความเคลื่อนไหวของอดีตนายกทักษิณ ชินวัตรถือเป็นเรื่องปกติของนักการทูต
ด้านนายจตุพร พรหมพันธ์ หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงออกมาถามรัฐบาล ใช้อำนาจอะไรมาสอบกรณีนำเอกสารลับมาเปิดเผย เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรัฐบาลเปรียบเสมือนโจรวางแผนปล้นแต่ถูกจับได้ก่อน
แล้วยังกล่าวต่อไปอีกว่าแกนนำคนเสื้อแดงเตรียมแฉเอกสารลับอัปยศของนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชุดที่ 2 สัปดาห์หน้า แต่หากบ่ายนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะออกมาแถลงข่าวหรือพูดจาไม่เข้าหูจะเปิดเผยในวันพรุ่งนี้
ด้านพรรคประชาธิปัตย์ออกมาตอบโต้ว่านายจตุพร พรหมพันธ์ โจรกรรมความลับของประเทศ เอื้อประโยชน์เขมรซ้ำยังบิดเบือนข้อมูล ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด
หลายคนคงสงสัยและคาดไม่ถึงว่า เรื่องราวจะบานปลายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุจากเอกสารไม่รู้กี่หน้าของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งภายในมีเนื้อหาพอสรุปได้จากคำพูดของแกนนำคนเสื้อแดงว่าเป็นแผนทำร้าย อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นเอกสารสำคัญความลับของประเทศไปเสียแล้ว
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ควันหลงคดีศิวรักษ์
ควันหลงจากคดีนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรหนุ่ม วัย 31 ปี ทำงานบริษัทกัมพูชา แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส หรือ CATS ซึ่งถูกดำเนินคดีและตัดสินไปแล้วโดยศาลกัมพูชาว่ามีความผิดจริง ข้อหาจารกรรมข้อมูลตารางการบินของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
นางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์ได้ร้องขอไปยังพรรคเพื่อไทย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยลงนามในหนังสือถึงสมเด็จฮุนเซนขอพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ และอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรช่วยประสานนอกรอบกับสมเด็จฮุนเซนให้อีกทางเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ จนได้รับพระราชทานอภัยโทษไปเรียบร้อย และเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม นายศิวรักษ์ได้ทำการอุปสมบทที่วัดป่าศรัทธาราม ต.หัวทะเล อ.เมือง จ.นครราชสีมา ไปแล้วเรียบร้อย ซึ่งเรื่องนี้รู้กันดีจากสื่อหลายกระแสทั้งในไทยและต่างประเทศ
แต่จากควันหลงคดีนี้ ทำเอากระทรวงการต่างประเทศออกมาเต้นผาง เมื่อมีข่าวว่าเอกสารลับทางราชการเสนอแผนกำจัด “ทักษิณ” ส่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเกิดรั่วไปถึงมือนายจตุพร พรหมพันธ์ หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงซึ่งออกมาปูดว่า กระทรวงการต่างประเทศวางแผนกำจัดทักษิณก่อนสิ้นปี สั่งเร่งปิดทุกคดีใน 6 มกราคม 2553 และประกาศสงครามกับเพื่อนบ้าน พร้อมกันนั้นได้นำเอกสารตราครุฑ ประทับคำสั่ง ลับมากและด่วนที่สุด ที่ กต. 303/2555 กระทรวงการต่างประเทศ ถนนศรีอยุธยา กทม.10400 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 ลงลายมือชื่อนายกษิต ภิมรมย์ รมว.ต่างประเทศ และส่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มาประกอบการแถงข่าว โดยเอกสารดังกล่าวระบุ เรื่องแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยอ้างถึง หนังสือกระทรวงการต่างประเทศ ลับมาก ด่วนที่สุดที่ กต 1302/2318 ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 สิ่งที่ส่งมาด้วย 1.เอกสารแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 2.ตารางการส่งสัญญาณและระดับความรุนแรงเพื่อเตรียมมาตรการป้องปรามและตอบโต้การกระทำของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างเป็นขั้นตอน ออกมาเผยแพร่ผ่านสื่อหลายกระแส
เมื่อมีข่าวออกมาเช่นนั้น กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจสั่งเร่งดำเนินการตรวจสอบ และเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ก็ออกมายอมรับว่าเอกสารลับที่รั่วไหลไปถึงมือแกนนำคนเสื้อแดงนั้นเป็นของจริง ขณะนี้ได้เตรียมการหารืออัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีกับนายจตุพร พรหมพันธ์ ข้อหาเผยแพร่เอกสารลับของทางราชการ พร้อมทั้งได้ตั้งคณะกรรมการสอบเอกสารลับถึงนากยรัฐมนตรีรั่วไปถึงมือนายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคนเสื้อแดงได้อย่างไร
เอกสารทางราชการถือเป็นเอกสารสำคัญเมื่อรั่วไหลออกไปภายนอกย่อมเป็นปัญหาใหญ่และอาจส่งผลกระทบร้ายแรง และหากเป็นข้อมูลสำคัญ อาทิ ข้อมูลด้านความมั่นคง ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ซึ่งเรื่องใหญ่ขนาดนี้บรรดาผู้เกี่ยวข้องไม่น่าปล่อยปะละเลยให้เกิดขึ้น และคงมีหลายฝ่ายออกมาเห็นด้วยที่ต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน
หากแต่ในอีกมุนมองหนึ่งซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่และรุนแรงไม่แพ้กัน ซ้ำยังเป็นที่สนใจและติดตามอย่างใกล้ชิดจากหลายฝ่ายทั้งคนไทยและต่างชาตินั่นก็คือข่าว การวางแผนกำจัด พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกปฏิวัติรัฐประหารไปเมื่อ 19 กันยายน 2549 ด้วยข้ออ้างยอดฮิตที่ดูเหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จ คือ
1.รัฐบาลบริหารประเทศบกพร่อง มีการทุจริต คอรัปชั่นอย่างกว้างขวาง
2.บ้านเมืองมีความวุ่นวาย เกิดความแตกแยกของประชาชนโดยรวม
3.มีการแทรกแซงองค์กรอิสระ
4.สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกล่วงละเมิด
เมื่อปลายปี 2549 หลายฝ่ายมองว่าการปฏิวัติรัฐประหารในครั้งนั้น ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว เหมาะสมแล้ว เนื่องจากมีความหวังว่าจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองที่แตกแยกรุนแรงจนไม่สามารถหาข้อยุติได้ จบลงด้วยดีโดยไม่เสียเลือดเนื้อคนในชาติ หากแต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เป็นอย่างหวัง ซ้ำยังมีทีท่าว่าความแตกแยกนั้นจะร้าวลึกลุกลามบานปลายและขยายออกไปในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังบานทะโร่ไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน เหตุจากการจารกรรมข้อมูลตารางการบินที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและยังเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฮุนเซนอีกด้วย
และจากควันหลงคดีจารกรรมตารางการบินของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเดินทางไปรับตำแหน่งที่ประเทศกัมพูชา ประกอบกับเอกสารที่อยู่ในมือนายจตุพร พรหมพันธ์ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ออกมายอมรับว่าเอกสารลับฉบับนั้นเป็นของจริง ซ้ำยังมีการตั้งคณะกรรมการสอบผู้เกี่ยวข้องรวมถึงเตรียมดำเนินคดีกับแกนนำคนเสื้อแดง ทำให้สายตาคนไทยและคงมีสายตาชาวโลกอีกจำนวนไม่น้อยตั้งข้อสงสยว่า “อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร” ทำผิดร้ายแรงมากนักหรือ กระทรวงการต่างประเทศจึงต้องเสนอแผนกำจัดนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทยให้พ้นไปจากโลกใบนี้โดยมีนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรหนุ่มอนาคตไกลเป็นเบี้ยในกระดาน
วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552
บทความกำเนิดโลก มนุษย์ และความเท่าเทียม
เปิดประตูสู่ความจริง
นำเสนอทัศนะทางพุทธปรัชญาที่ชี้นำสู่ความจริง
โดย ปรัศนีย์ สัจวิพากษ์
----------------------------------------------------------
กำเนิดโลก มนุษย์ และความเท่าเทียม บรรดาคำถามทั้งหลายที่เราๆท่านๆให้ความสนใจแสวงหาคำตอบนั้น กำเนิดของโลก ของมนุษย์ และความเสมอภาคเท่าเทียม เป็นประเด็นคำถามที่อยู่ในความสนใจของผู้คนจำนวนมาก เช่นเดียวกับเป้าหมายของชีวิต การเวียนว่ายตายเกิด เป็นต้น ซึ่งพบได้จากกระทู้คำถามที่มีผู้โพสต์ไว้ตามเว็บไซต์ต่างๆในโลกไซเบอร์
ความจริงคำถามเช่นนี้ แม้แต่เด็กที่พอเริ่มพูดจารู้เรื่องยังให้ความสนใจ พวกเขามักจะถามคุณพ่อคุณแม่ว่าหนูมาจากไหน มาได้อย่างไร คุณพ่อคุณแม่ก็คงจะตอบอย่างเอ็นดูว่าออกมาจากท้องแม่ ออกมาทางไหนล่ะ ไม่เห็นมีที่ทางจะออกได้เลย คุณแม่คงจะตอบอย่างเหนียมอายว่าออกมาจากก้น แล้วก่อนหน้านั้นหนูอยู่ที่ไหน มาอยู่ในท้องคุณแม่ได้อย่างไร ฯลฯ อีกหลายคำถามที่จะตามมา หนักเข้าคุณพ่อก็คงส่ายหน้าลุกขึ้นเดินหนี ปล่อยให้คุณแม่วิสัชชนาไปตามสะดวก
มันเป็นคำถามที่ตอบยาก แม้จะพอเข้าใจอยู่บ้าง ตามคำอธิบายในหลักวิชาวิทยาศาสตร์บทที่ว่าด้วยวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต แต่ถึงพูดไปเด็กไร้เดียงสาก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี และก็จะต้องตั้งปุจฉาขึ้นมาอีกอย่างไม่สิ้นสุด ในที่สุดความรู้สึกเอ็นดูเมื่อครู่อาจแปรเปลี่ยนเป็นความรำคาญ คุณแม่ก็จะต้องหาทางเบี่ยงเบนประเด็นให้ลูกน้อยหันไปสนใจเรื่องอื่น หรือไม่ก็ตัดบทด้วยการแสดงท่าทีรำคาญลุกพรวดขึ้นเดินหนีเสียเลย บางท่านอาจมองเป็นเรื่องไร้สาระถึงกับออกปากไล่ส่งให้ไปพ้นๆหน้า ลูกน้อยก็อาจจะยิ่งงงงันหนักขึ้นไปอีก
จะว่าไปความช่างซักช่างถามของเด็กๆนั้นเป็นเรื่องดี เป็นการแสดงออกถึงแววของความเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาแต่ยังเยาว์วัย ที่สมควรส่งเสริมอย่างจริงจัง และที่สำคัญก็คือปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ออกจะเป็นเรื่องที่มีสาระแก่นสารมากเลยทีเดียว เป็นปัญหายิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติเลยก็ว่าได้ เนื่องจากสามารถเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพ ภราดรภาพ การกำเนิดของสังคม ผู้นำสังคมและผู้ปกครองรัฐ ในบทความนี้ขอกล่าวเฉพาะความเสมอภาคเท่าเทียม โดยเริ่มจากคำถามที่ว่า
1. กำเนิดของโลก กำเนิดของมนุษยชาติ ตลอดจนสังคมมนุษย์ เป็นมาอย่างไร
2. แหล่งอ้างอิงถึงจุดเริ่มต้นแห่งความเสมอภาคเท่าเทียมของมวลมนุษย์อยู่ตรงไหน
เมื่อเราสามารถแสวงหาคำตอบได้ ความไม่เข้าใจที่มาที่ไปของตนเองหรือสิ่งที่สงสัยก็จะถูกทำลายไป ทุกคนจะกำหนดแผนการดำเนินชีวิตตนเองได้ การดำเนินชีวิตจะก้าวไปอย่างมีทั้งทิศทางและเป้าหมายที่สัมพันธ์กัน ในที่สุดทุกท่านก็จะเดินทางบรรลุสู่เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้โดยสวัสดิภาพ รวมทั้งความเสมอภาคเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพ ภราดรภาพ และระบอบประชาธิปไตย ที่จะเกิดขึ้นจากการปรับทัศนะมุมมองที่เอื้ออำนวยเสียก่อน
แนวความคิดที่ใช้ค้นหาคำตอบ
เวลาจะค้นหาคำตอบหรือให้คำอธิบายต่อปัญหาใดๆนั้น จำเป็นต้องดำเนินการไปตามแนวความคิดหรือทฤษฎี เท่าที่เห็นว่าสามารถใช้เป็นฐานรองรับสนับสนุนคำอธิบายได้ เราคงไม่อาจอธิบายข้อสงสัยใดๆแบบคิดเอาเองตามใจปรารถนา ในกรณีนี้มีแนวความคิดที่จะใช้ค้นหาคำตอบ คือ
1. แนวความคิดอนมตัคคะ คือแนวความคิดที่อธิบายว่ากำเนิดของมนุษย์และโลกตลอดจนระบบสุริยจักรวาล มีจุดกำเนิดที่ไม่อาจกำหนดนับได้เป็นวันเวลาอย่างเฉพาะเจาะจงว่าเกิดขึ้นเมื่อใด และจะถึงจุดสิ้นสุดเมื่อใดแน่ อะไรเกิดก่อนอะไรเกิดหลัง หรือเกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่ก่อนไม่หลัง
2. แนวคิดอัพยากตปัญหา คือแนวความคิดที่อธิบายว่าปัญหาบางเรื่องไม่มีประโยชน์ที่จะแสวงหาคำตอบให้เสียเวลาและเหนื่อยเปล่า ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นเรื่องไม่ประกอบด้วยอรรถ(การปฏิบัติ)ด้วยธรรม(ปริยัติหรือกระบวนการเรียนรู้) ไม่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ความดับกิเลส ความสงบ ความรู้ยิ่ง การตรัสรู้ และนิพพาน
3. แนวความคิดอิทัปปัจจยตา คือแนวความคิดที่อธิบายว่า สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้โดยปราศจากเหตุปัจจัยเกื้อหนุน กล่าวคือจะต้องมีเหตุปัจจัยหนึ่งสนับสนุนเหตุปัจจัยหนึ่ง และจะถึงการสิ้นสุดลงเมื่อเหตุปัจจัยนั้นดับสิ้นลง ตามหลักการที่ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับไป”(สํ. นิ. 16/49/103-104)
แหล่งข้อมูล
ข้อมูลที่จะนำมาวิเคราะห์หาคำตอบนี้ ได้มาจากอัคคัญญสูตร ซึ่งเป็นบันทึกเรื่องราวการแสดงพระธรรมเศนาของพระพุทธเจ้า มีเนื้อหากล่าวถึงความเป็นมาของโลกและกำเนิดมนุษยชาติยุคแรกโดยสังเขปดังนี้ คือ
เมื่อโลกมนุษย์ถูกเผาผลาญวอดวายลงด้วยไฟบรรลัยกัลป์ แหลกสลายเหลือเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่าในอวกาศ ผ่านไปเนิ่นนานกระทั่งเกิดพายุฝนห่าใหญ่ตกกระหน่ำลงมา อวกาศที่เคยว่างเปล่าก็เต็มไปด้วยสายน้ำ มีโลกแห่งสายน้ำเกิดขึ้น จากนั้นตะกอนในน้ำก็เกาะกลุ่มขยายตัวเพิ่มขึ้นกลายเป็นง้วนดิน กระบิดิน เครือดิน
โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าง้วนดินนั้น ว่ากันว่ามีสีเหลืองรสโอชะส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้ลิ้มลอง อาภัสรพรหมหรือเทวดาชั้นอาภัสระผู้มีเรือนร่างเปล่งรัศมีส่องสว่างทนไม่ไหวต้องลงมาลิ้มรส ทันทีที่รสอันโอชะแผ่ซ่านไปทั่วเรือนร่าง รัศมีที่รุ่งเรืองก็พลันหม่นหมองกระทั่งอับแสงดับวูบลง เรือนกายอันเป็นทิพย์ที่เคยหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยปีติ กลับกลายเป็นร่างกายที่หยาบกระด้างเศร้าหมอง เกิดเพศชายเพศหญิงซึ่งแต่เดิมไม่มี
ครั้นเมื่อชายหนุ่มหญิงสาวจ้องมองกันไปมา ความปรารถนาทางเพศก็เกิดขึ้น พวกเขามีเพศสัมพันธ์กันอย่างสาธารณ์ ผู้ที่พบเห็นต่างแสดงอาการรังเกียจก่นประณามหยามเหยียบ จำต้องหาที่มุงบังสร้างบ้านเรือนเกิดครอบครัว มีลูกมีหลานขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้แพร่หลาย รวมตัวกันอยู่เป็นหมู่บ้าน ชุมชน นิคม แว่นแคว้น มีผู้นำที่เรียกว่ากษัตริย์นับแต่นั้นมา
การวิเคราะห์ข้อมูล
จากข้อมูลในพระไตรปิฎกเท่าที่สรุปใจความสำคัญ อันเป็นแหล่งข้อมูลชั้นแรกข้างต้นนั้น เราสามารถนำมาวิเคราะห์หาคำตอบได้ตามแนวความคิดข้างต้น ดังนี้
1. การวิเคราะห์ตามแนวความคิดอนมตัคคะ อธิบายได้ว่าการเกิดขึ้นของโลกและมนุษย์เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจค้นหาและกำหนดนับช่วงเวลาที่ชัดเจนได้ กล่าวคือไม่อาจกล่าวโดยเฉพาะเจาะจงลงไปได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด ณ เวลาใด สรุปว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ จึงไม่ปรากฏข้อมูลยืนยันในพระไตรปิฎก
2. การวิเคราะห์ตามแนวคิดอัพยากตปัญหา อธิบายได้ว่าการค้นหาคำตอบเรื่องช่วงเวลาว่าโลกและมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นเมื่อใดเป็นปัญหาที่ไม่เกิดประโยชน์ที่จะค้นหาคำตอบ ด้วยเหตุผลว่า
2.1 การค้นหาคำตอบนั้นไม่ประกอบด้วยอรรถ(การปฏิบัติ) คือเมื่อรู้คำตอบหรือหาคำอธิบายได้ก็ไม่ก่อให้เกิดแนวทางปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาจำเป็นเร่งด่วนในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ไม่ประกอบด้วยธรรม(ปริยัติ) คือไม่ก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ใดๆที่จะช่วยให้มนุษย์บรรลุนิพพานได้ ไม่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ความดับกิเลส ความสงบ ความรู้ยิ่ง การตรัสรู้ และนิพพาน พระพุทธเจ้าจึงไม่ตอบคำถามเรื่องเหล่านี้ ที่เรียกว่าอัพยากตปัญหา คือ
-โลกเที่ยงหรือโลกไม่เที่ยง
-โลกมีที่สิ้นสุดหรือไม่มีที่สิ้นสุด
-ชีพก็อันนั้นสรีระก็อันนั้น หรือชีพอย่างหนึ่งสรีระก็อย่างหนึ่ง
-สัตว์(มนุษย์)ตายแล้วเกิดอีกหรือตายแล้วไม่เกิดอีก
-สัตว์ตายแล้วเกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี หรือตายแล้วเกิดอีกก็มิใช่ ไม่เกิดอีกก็มิใช่
พระพุทธเจ้าไม่ให้ความสำคัญกับโลกทางกายภาพหรือโลกในความหมายทางภูมิศาสตร์ แต่ให้ความสนใจเฉพาะโลกที่ยาวหนึ่งวาหนาหนึ่งคืบอันได้แก่ตัวตนของมนุษย์แต่ละคน ในแง่มุมด้านจิตวิญญาณที่ถูกครอบงำด้วยกิเลส และเสนอแนวทางปลดเปลื้องมนุษย์ให้เป็นอิสระจากการครอบงำนั้น ตามหลักธรรมที่เรียกอริยสัจ 4 นี่ต่างหากคือโลกที่แท้จริง ที่ต้องให้ความสนใจและดำเนินการแก้ไขปัญหาการถูกกิเลสครอบงำอย่างเร่งด่วน การถกเถียงเรื่องโลกทางกายภาพ เรื่องดวงดาวดินฟ้าอากาศว่าเกิดขึ้นเมื่อใด เพียงเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็น ไม่อาจนำพามนุษย์ให้ก้าวเดินไปสู่ความพ้นทุกข์ได้
2.2 การค้นหาคำตอบนั้นไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการประพฤติพรหมจรรย์ คือคำตอบนั้นไม่อาจโน้มน้าวบุคคลให้หันไปปฏิบัติตามแนวทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทาหรือมรรคมีองค์ 8 เพื่อมุ่งไปสู่การลดละเลิกกิเลสให้หมดสิ้นไปจากจิตวิญญาณได้
2.3 การค้นหาคำตอบนั้นไม่เป็นไปเพื่อสร้างความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อการตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน
พุทธศาสนามีทัศนะว่า ไม่ว่ามนุษย์จะเพียรพยายามค้นหาคำตอบเกี่ยวกับโลกทางวัตถุด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าล้ำยุคสักเพียงใด ความทุกข์หรือปัญหาอันเกิดจากการถูกกิเลสครอบงำก็จะยังคงดำรงอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีวันจะปลดเปลื้องลงไปได้ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังไม่หันมาสนใจโลกที่หมายถึงตัวตนของมนุษย์เอง เมื่อทุกคนดูแลตนเองได้ก็ไม่เกิดปัญหาทั้งส่วนตัวและส่วนรวม
3. การวิเคราะห์ตามแนวคิดอิทัปปัจจยตา อธิบายได้ว่าจุดกำเนิดของโลกและมนุษย์ดำเนินมาหรือวิวัฒนาการมาตามเหตุปัจจัยที่เกื้อหนุนให้เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นเองอย่างบังเอิญ และไม่มีผู้สร้างให้เกิด ทว่าเกิดขึ้นตามความพรั่งพร้อมของเหตุปัจจัยที่มาเกาะเกี่ยวผสมผสานกัน จึงไม่อาจยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใดอย่างเฉพาะเจาะจง กล่าวได้แต่เพียงว่าเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยพรั่งพร้อมบริบูรณ์เท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดอนมตัคคะ เราอาจเรียงลำดับเหตุปัจจัยอย่างคร่าวๆว่า
-โลกถูกไฟเผาผลาญ-เย็นลงเรื่อยๆ-เกิดฝนตก-ลมหรืออากาศธาตุรองรับน้ำ-เกิดตะกอนในสายน้ำเกาะตัวเป็นกลุ่มก้อน-เกิดง้วนดิน กระบิดิน เครือดินส่งกลิ่นหอม-อาภัสรพรหมลงมาลิ้มรส-เรือนร่างหม่นหมองอับรัศมี-กายทิพย์หยาบกระด้าง-มีเพศชายหญิงปรากฏ-การจ้องมองอย่างเพ่งเล็ง-เกิดความปรารถนาทางเพศ-มีเพศสัมพันธ์อย่างเปิดเผย-ถูกสังคมประณาม-สร้างบ้านเรือนปิดบัง-มีลูกหลานเกิดขึ้น-สังคมขยายตัว-เกิดหมู่บ้าน ชุมชน เมือง แว่นแคว้น(รัฐ)-มีผู้นำผู้ปกครอง(กษัตริย์) ฯลฯ
จากการวิเคราะห์ดังกล่าวทำให้พบว่าโลกทางกายภาพเกิดขึ้นตามความพรั่งพร้อมเหตุปัจจัยทางกายภาพที่เกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ดังได้กล่าวมา ส่วนเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดมนุษย์และสังคมมนุษย์นั้นอาจวิเคราะห์ได้ในลักษณะเดียวกัน ดังนี้
ก่อนโลกถูกเผาผลาญ-มนุษย์รักษาศีล-ปฏิบัติธรรม-บรรลุฌานสมาธิขั้นทุติยฌาน-เสียชีวิตเมื่อโลกพินาศ-ถือกำเนิดเป็นอาภัสรพรหม-ได้กลิ่นง้วนดิน-เกิดตัณหา-ลงมาเสพกินลิ้มรส-รัศมีในกายทิพย์อับแสง-กายทิพย์แปรสภาพเป็นกายหยาบ-เกิดเพศชายและหญิง-เกิดความยึดถือเข้าใจในเพศ-กิเลสราคะในใจฟูขึ้น-มีความสัมพันธ์ทางเพศ-เกิดการตั้งครรภ์-คลอดทารกออกมา-เกิดสังคม-ชุมชน-หมู่บ้าน-แว่นแคว้นหรือรัฐ-มีผู้นำสังคม-เกิดการจัดระเบียบความเป็นอยู่-มีการสถาปนายศศักดิ์-เกิดการแบ่งชนชั้น-แย่งชิงยึดครองปัจจัยการดำรงชีพ-เกิดความขัดแย้ง ฯลฯ
จากข้อมูลและการวิเคราะห์ข้างต้น อธิบายได้ว่าอาภัสรพรหม คือเทวดาจำพวกหนึ่งที่มีเรือนร่างผ่องใสแผ่รัศมีได้ มีปีติความอิ่มใจอันเกิดจากสมาธิเป็นอาหาร ไม่จำเป็นต้องแสวงหาอาหารมาใส่ปากก็สามารถดำรงชีพอยู่ได้ แต่เพราะพ่ายแพ้ต่อแรงปรารถนา(ตัณหา)ที่จะลิ้มรสง้วนดิน (ซึ่งเป็นของหยาบ ไม่ใช่อาหารของเทวดา) จึงเผลอสติไปเสพกิน เรือนร่างอันสุกสกาวผ่องใสก็เศร้าหมองหมดราศี ถึงความเสื่อมทางคุณธรรม ความสำนึกทางศีลธรรมเสื่อมสูญตกต่ำ จึงเกิดร่างกายหยาบแบบมนุษย์ขึ้นมา มีเพศชายเพศหญิงสมบูรณ์ เกิดความรู้สึกทางเพศ จึงมีความสัมพันธ์ทางเพศแบบเปิดเผย เมื่อถูกประณามก็สร้างบ้านเรือนขึ้นมาปิดบังการกระทำนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงกล่าวได้ว่ามนุษย์มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ผู้มีกิเลสด้วยกันนี่เอง ไม่ได้มาสืบเชื้อสายมาจากเทวดาหรือเทพผู้ประเสริฐอย่างที่เข้าใจ โดยกำหนดนับว่าความเป็นมนุษย์นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่บรรพบุรุษของเรามีร่างกายหยาบ มีหูมีตาพร้อมทั้งอวัยวะส่วนอื่นๆครบถ้วนอย่างมนุษย์ในปัจจุบัน มีความรู้สึกทางเพศและเริ่มต้นสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นมา
เราจะต้องกำหนดจุดเริ่มต้นของการตัดสินฟันธงให้ชัด โดยเริ่มตรงช่วงเวลาที่เรามีร่างกายแบบมนุษย์ ไม่ใช่เริ่มพิจารณาตั้งแต่ช่วงที่มีกายทิพย์แบบเทวดา ซึ่งจะทำให้วิเคราะห์ผิดพลาด และได้คำตอบที่บิดเบือนความจริง ก่อเกิดทัศนะว่าคนไม่เท่าเทียม มีการปฏิบัติต่อกันอย่างแตกต่างที่เรียกว่าสองมาตรฐาน
ความเป็นเทวดาผู้ประเสริฐได้สิ้นสุดลงตั้งแต่ช่วงเวลาที่เริ่มมีร่างกายหยาบ และไม่สามารถดำรงชีพด้วยพลังปีติอันเกิดจากฌานสมาธิได้อีกต่อไป เป็นการถดถอยกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์เช่นเดิม เช่นเดียวกับช่วงเวลาก่อนที่โลกจะพินาศย่อยยับลงไปด้วยไฟบรรลัยกัลป์นั่นเอง
จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมด สรุปคำตอบได้ชัดเจนว่า
1. โลกก่อกำเนิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยทางกายภาพเข้ามาเกื้อหนุนอย่างพรั่งพร้อม เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ถือกำเนิดขึ้นจากเหตุปัจจัยภายในจิต คือการรับรู้ยึดถือในเพศชายหญิง ก่อเกิดแรงปรารถนาที่อยู่นอกเหนือการควบคุม จึงให้กำเนิดมนุษย์ขยายตัวเป็นสังคมครอบครัว หมู่บ้าน ชุมชน และรัฐต่อมา
2. แหล่งอ้างอิงความเสมอภาคเท่าเทียมกันของมนุษย์นั้น อยู่ที่การได้สถานภาพความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดที่มาเช่นเดียวกัน กล่าวคือแต่ละคนได้สืบเชื้อสายมาจากมนุษย์เช่นเดียวกัน ที่ไม่มีข้อกำหนดกฏเกณฑ์ใดๆเลย ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างไม่เท่าเทียม ส่วนประเด็นเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ภราดรภาพ จะเท่าเทียมกันหรือไม่อย่างไร เพราะอะไร จะขอนำเสนอในครั้งต่อไป
นำเสนอทัศนะทางพุทธปรัชญาที่ชี้นำสู่ความจริง
โดย ปรัศนีย์ สัจวิพากษ์
----------------------------------------------------------
กำเนิดโลก มนุษย์ และความเท่าเทียม บรรดาคำถามทั้งหลายที่เราๆท่านๆให้ความสนใจแสวงหาคำตอบนั้น กำเนิดของโลก ของมนุษย์ และความเสมอภาคเท่าเทียม เป็นประเด็นคำถามที่อยู่ในความสนใจของผู้คนจำนวนมาก เช่นเดียวกับเป้าหมายของชีวิต การเวียนว่ายตายเกิด เป็นต้น ซึ่งพบได้จากกระทู้คำถามที่มีผู้โพสต์ไว้ตามเว็บไซต์ต่างๆในโลกไซเบอร์
ความจริงคำถามเช่นนี้ แม้แต่เด็กที่พอเริ่มพูดจารู้เรื่องยังให้ความสนใจ พวกเขามักจะถามคุณพ่อคุณแม่ว่าหนูมาจากไหน มาได้อย่างไร คุณพ่อคุณแม่ก็คงจะตอบอย่างเอ็นดูว่าออกมาจากท้องแม่ ออกมาทางไหนล่ะ ไม่เห็นมีที่ทางจะออกได้เลย คุณแม่คงจะตอบอย่างเหนียมอายว่าออกมาจากก้น แล้วก่อนหน้านั้นหนูอยู่ที่ไหน มาอยู่ในท้องคุณแม่ได้อย่างไร ฯลฯ อีกหลายคำถามที่จะตามมา หนักเข้าคุณพ่อก็คงส่ายหน้าลุกขึ้นเดินหนี ปล่อยให้คุณแม่วิสัชชนาไปตามสะดวก
มันเป็นคำถามที่ตอบยาก แม้จะพอเข้าใจอยู่บ้าง ตามคำอธิบายในหลักวิชาวิทยาศาสตร์บทที่ว่าด้วยวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต แต่ถึงพูดไปเด็กไร้เดียงสาก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี และก็จะต้องตั้งปุจฉาขึ้นมาอีกอย่างไม่สิ้นสุด ในที่สุดความรู้สึกเอ็นดูเมื่อครู่อาจแปรเปลี่ยนเป็นความรำคาญ คุณแม่ก็จะต้องหาทางเบี่ยงเบนประเด็นให้ลูกน้อยหันไปสนใจเรื่องอื่น หรือไม่ก็ตัดบทด้วยการแสดงท่าทีรำคาญลุกพรวดขึ้นเดินหนีเสียเลย บางท่านอาจมองเป็นเรื่องไร้สาระถึงกับออกปากไล่ส่งให้ไปพ้นๆหน้า ลูกน้อยก็อาจจะยิ่งงงงันหนักขึ้นไปอีก
จะว่าไปความช่างซักช่างถามของเด็กๆนั้นเป็นเรื่องดี เป็นการแสดงออกถึงแววของความเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาแต่ยังเยาว์วัย ที่สมควรส่งเสริมอย่างจริงจัง และที่สำคัญก็คือปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ออกจะเป็นเรื่องที่มีสาระแก่นสารมากเลยทีเดียว เป็นปัญหายิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติเลยก็ว่าได้ เนื่องจากสามารถเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพ ภราดรภาพ การกำเนิดของสังคม ผู้นำสังคมและผู้ปกครองรัฐ ในบทความนี้ขอกล่าวเฉพาะความเสมอภาคเท่าเทียม โดยเริ่มจากคำถามที่ว่า
1. กำเนิดของโลก กำเนิดของมนุษยชาติ ตลอดจนสังคมมนุษย์ เป็นมาอย่างไร
2. แหล่งอ้างอิงถึงจุดเริ่มต้นแห่งความเสมอภาคเท่าเทียมของมวลมนุษย์อยู่ตรงไหน
เมื่อเราสามารถแสวงหาคำตอบได้ ความไม่เข้าใจที่มาที่ไปของตนเองหรือสิ่งที่สงสัยก็จะถูกทำลายไป ทุกคนจะกำหนดแผนการดำเนินชีวิตตนเองได้ การดำเนินชีวิตจะก้าวไปอย่างมีทั้งทิศทางและเป้าหมายที่สัมพันธ์กัน ในที่สุดทุกท่านก็จะเดินทางบรรลุสู่เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้โดยสวัสดิภาพ รวมทั้งความเสมอภาคเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพ ภราดรภาพ และระบอบประชาธิปไตย ที่จะเกิดขึ้นจากการปรับทัศนะมุมมองที่เอื้ออำนวยเสียก่อน
แนวความคิดที่ใช้ค้นหาคำตอบ
เวลาจะค้นหาคำตอบหรือให้คำอธิบายต่อปัญหาใดๆนั้น จำเป็นต้องดำเนินการไปตามแนวความคิดหรือทฤษฎี เท่าที่เห็นว่าสามารถใช้เป็นฐานรองรับสนับสนุนคำอธิบายได้ เราคงไม่อาจอธิบายข้อสงสัยใดๆแบบคิดเอาเองตามใจปรารถนา ในกรณีนี้มีแนวความคิดที่จะใช้ค้นหาคำตอบ คือ
1. แนวความคิดอนมตัคคะ คือแนวความคิดที่อธิบายว่ากำเนิดของมนุษย์และโลกตลอดจนระบบสุริยจักรวาล มีจุดกำเนิดที่ไม่อาจกำหนดนับได้เป็นวันเวลาอย่างเฉพาะเจาะจงว่าเกิดขึ้นเมื่อใด และจะถึงจุดสิ้นสุดเมื่อใดแน่ อะไรเกิดก่อนอะไรเกิดหลัง หรือเกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่ก่อนไม่หลัง
2. แนวคิดอัพยากตปัญหา คือแนวความคิดที่อธิบายว่าปัญหาบางเรื่องไม่มีประโยชน์ที่จะแสวงหาคำตอบให้เสียเวลาและเหนื่อยเปล่า ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นเรื่องไม่ประกอบด้วยอรรถ(การปฏิบัติ)ด้วยธรรม(ปริยัติหรือกระบวนการเรียนรู้) ไม่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ความดับกิเลส ความสงบ ความรู้ยิ่ง การตรัสรู้ และนิพพาน
3. แนวความคิดอิทัปปัจจยตา คือแนวความคิดที่อธิบายว่า สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้โดยปราศจากเหตุปัจจัยเกื้อหนุน กล่าวคือจะต้องมีเหตุปัจจัยหนึ่งสนับสนุนเหตุปัจจัยหนึ่ง และจะถึงการสิ้นสุดลงเมื่อเหตุปัจจัยนั้นดับสิ้นลง ตามหลักการที่ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับไป”(สํ. นิ. 16/49/103-104)
แหล่งข้อมูล
ข้อมูลที่จะนำมาวิเคราะห์หาคำตอบนี้ ได้มาจากอัคคัญญสูตร ซึ่งเป็นบันทึกเรื่องราวการแสดงพระธรรมเศนาของพระพุทธเจ้า มีเนื้อหากล่าวถึงความเป็นมาของโลกและกำเนิดมนุษยชาติยุคแรกโดยสังเขปดังนี้ คือ
เมื่อโลกมนุษย์ถูกเผาผลาญวอดวายลงด้วยไฟบรรลัยกัลป์ แหลกสลายเหลือเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่าในอวกาศ ผ่านไปเนิ่นนานกระทั่งเกิดพายุฝนห่าใหญ่ตกกระหน่ำลงมา อวกาศที่เคยว่างเปล่าก็เต็มไปด้วยสายน้ำ มีโลกแห่งสายน้ำเกิดขึ้น จากนั้นตะกอนในน้ำก็เกาะกลุ่มขยายตัวเพิ่มขึ้นกลายเป็นง้วนดิน กระบิดิน เครือดิน
โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าง้วนดินนั้น ว่ากันว่ามีสีเหลืองรสโอชะส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้ลิ้มลอง อาภัสรพรหมหรือเทวดาชั้นอาภัสระผู้มีเรือนร่างเปล่งรัศมีส่องสว่างทนไม่ไหวต้องลงมาลิ้มรส ทันทีที่รสอันโอชะแผ่ซ่านไปทั่วเรือนร่าง รัศมีที่รุ่งเรืองก็พลันหม่นหมองกระทั่งอับแสงดับวูบลง เรือนกายอันเป็นทิพย์ที่เคยหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยปีติ กลับกลายเป็นร่างกายที่หยาบกระด้างเศร้าหมอง เกิดเพศชายเพศหญิงซึ่งแต่เดิมไม่มี
ครั้นเมื่อชายหนุ่มหญิงสาวจ้องมองกันไปมา ความปรารถนาทางเพศก็เกิดขึ้น พวกเขามีเพศสัมพันธ์กันอย่างสาธารณ์ ผู้ที่พบเห็นต่างแสดงอาการรังเกียจก่นประณามหยามเหยียบ จำต้องหาที่มุงบังสร้างบ้านเรือนเกิดครอบครัว มีลูกมีหลานขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้แพร่หลาย รวมตัวกันอยู่เป็นหมู่บ้าน ชุมชน นิคม แว่นแคว้น มีผู้นำที่เรียกว่ากษัตริย์นับแต่นั้นมา
การวิเคราะห์ข้อมูล
จากข้อมูลในพระไตรปิฎกเท่าที่สรุปใจความสำคัญ อันเป็นแหล่งข้อมูลชั้นแรกข้างต้นนั้น เราสามารถนำมาวิเคราะห์หาคำตอบได้ตามแนวความคิดข้างต้น ดังนี้
1. การวิเคราะห์ตามแนวความคิดอนมตัคคะ อธิบายได้ว่าการเกิดขึ้นของโลกและมนุษย์เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจค้นหาและกำหนดนับช่วงเวลาที่ชัดเจนได้ กล่าวคือไม่อาจกล่าวโดยเฉพาะเจาะจงลงไปได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด ณ เวลาใด สรุปว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ จึงไม่ปรากฏข้อมูลยืนยันในพระไตรปิฎก
2. การวิเคราะห์ตามแนวคิดอัพยากตปัญหา อธิบายได้ว่าการค้นหาคำตอบเรื่องช่วงเวลาว่าโลกและมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นเมื่อใดเป็นปัญหาที่ไม่เกิดประโยชน์ที่จะค้นหาคำตอบ ด้วยเหตุผลว่า
2.1 การค้นหาคำตอบนั้นไม่ประกอบด้วยอรรถ(การปฏิบัติ) คือเมื่อรู้คำตอบหรือหาคำอธิบายได้ก็ไม่ก่อให้เกิดแนวทางปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาจำเป็นเร่งด่วนในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ไม่ประกอบด้วยธรรม(ปริยัติ) คือไม่ก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ใดๆที่จะช่วยให้มนุษย์บรรลุนิพพานได้ ไม่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ความดับกิเลส ความสงบ ความรู้ยิ่ง การตรัสรู้ และนิพพาน พระพุทธเจ้าจึงไม่ตอบคำถามเรื่องเหล่านี้ ที่เรียกว่าอัพยากตปัญหา คือ
-โลกเที่ยงหรือโลกไม่เที่ยง
-โลกมีที่สิ้นสุดหรือไม่มีที่สิ้นสุด
-ชีพก็อันนั้นสรีระก็อันนั้น หรือชีพอย่างหนึ่งสรีระก็อย่างหนึ่ง
-สัตว์(มนุษย์)ตายแล้วเกิดอีกหรือตายแล้วไม่เกิดอีก
-สัตว์ตายแล้วเกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี หรือตายแล้วเกิดอีกก็มิใช่ ไม่เกิดอีกก็มิใช่
พระพุทธเจ้าไม่ให้ความสำคัญกับโลกทางกายภาพหรือโลกในความหมายทางภูมิศาสตร์ แต่ให้ความสนใจเฉพาะโลกที่ยาวหนึ่งวาหนาหนึ่งคืบอันได้แก่ตัวตนของมนุษย์แต่ละคน ในแง่มุมด้านจิตวิญญาณที่ถูกครอบงำด้วยกิเลส และเสนอแนวทางปลดเปลื้องมนุษย์ให้เป็นอิสระจากการครอบงำนั้น ตามหลักธรรมที่เรียกอริยสัจ 4 นี่ต่างหากคือโลกที่แท้จริง ที่ต้องให้ความสนใจและดำเนินการแก้ไขปัญหาการถูกกิเลสครอบงำอย่างเร่งด่วน การถกเถียงเรื่องโลกทางกายภาพ เรื่องดวงดาวดินฟ้าอากาศว่าเกิดขึ้นเมื่อใด เพียงเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็น ไม่อาจนำพามนุษย์ให้ก้าวเดินไปสู่ความพ้นทุกข์ได้
2.2 การค้นหาคำตอบนั้นไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการประพฤติพรหมจรรย์ คือคำตอบนั้นไม่อาจโน้มน้าวบุคคลให้หันไปปฏิบัติตามแนวทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทาหรือมรรคมีองค์ 8 เพื่อมุ่งไปสู่การลดละเลิกกิเลสให้หมดสิ้นไปจากจิตวิญญาณได้
2.3 การค้นหาคำตอบนั้นไม่เป็นไปเพื่อสร้างความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อการตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน
พุทธศาสนามีทัศนะว่า ไม่ว่ามนุษย์จะเพียรพยายามค้นหาคำตอบเกี่ยวกับโลกทางวัตถุด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าล้ำยุคสักเพียงใด ความทุกข์หรือปัญหาอันเกิดจากการถูกกิเลสครอบงำก็จะยังคงดำรงอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีวันจะปลดเปลื้องลงไปได้ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังไม่หันมาสนใจโลกที่หมายถึงตัวตนของมนุษย์เอง เมื่อทุกคนดูแลตนเองได้ก็ไม่เกิดปัญหาทั้งส่วนตัวและส่วนรวม
3. การวิเคราะห์ตามแนวคิดอิทัปปัจจยตา อธิบายได้ว่าจุดกำเนิดของโลกและมนุษย์ดำเนินมาหรือวิวัฒนาการมาตามเหตุปัจจัยที่เกื้อหนุนให้เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นเองอย่างบังเอิญ และไม่มีผู้สร้างให้เกิด ทว่าเกิดขึ้นตามความพรั่งพร้อมของเหตุปัจจัยที่มาเกาะเกี่ยวผสมผสานกัน จึงไม่อาจยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใดอย่างเฉพาะเจาะจง กล่าวได้แต่เพียงว่าเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยพรั่งพร้อมบริบูรณ์เท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดอนมตัคคะ เราอาจเรียงลำดับเหตุปัจจัยอย่างคร่าวๆว่า
-โลกถูกไฟเผาผลาญ-เย็นลงเรื่อยๆ-เกิดฝนตก-ลมหรืออากาศธาตุรองรับน้ำ-เกิดตะกอนในสายน้ำเกาะตัวเป็นกลุ่มก้อน-เกิดง้วนดิน กระบิดิน เครือดินส่งกลิ่นหอม-อาภัสรพรหมลงมาลิ้มรส-เรือนร่างหม่นหมองอับรัศมี-กายทิพย์หยาบกระด้าง-มีเพศชายหญิงปรากฏ-การจ้องมองอย่างเพ่งเล็ง-เกิดความปรารถนาทางเพศ-มีเพศสัมพันธ์อย่างเปิดเผย-ถูกสังคมประณาม-สร้างบ้านเรือนปิดบัง-มีลูกหลานเกิดขึ้น-สังคมขยายตัว-เกิดหมู่บ้าน ชุมชน เมือง แว่นแคว้น(รัฐ)-มีผู้นำผู้ปกครอง(กษัตริย์) ฯลฯ
จากการวิเคราะห์ดังกล่าวทำให้พบว่าโลกทางกายภาพเกิดขึ้นตามความพรั่งพร้อมเหตุปัจจัยทางกายภาพที่เกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ดังได้กล่าวมา ส่วนเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดมนุษย์และสังคมมนุษย์นั้นอาจวิเคราะห์ได้ในลักษณะเดียวกัน ดังนี้
ก่อนโลกถูกเผาผลาญ-มนุษย์รักษาศีล-ปฏิบัติธรรม-บรรลุฌานสมาธิขั้นทุติยฌาน-เสียชีวิตเมื่อโลกพินาศ-ถือกำเนิดเป็นอาภัสรพรหม-ได้กลิ่นง้วนดิน-เกิดตัณหา-ลงมาเสพกินลิ้มรส-รัศมีในกายทิพย์อับแสง-กายทิพย์แปรสภาพเป็นกายหยาบ-เกิดเพศชายและหญิง-เกิดความยึดถือเข้าใจในเพศ-กิเลสราคะในใจฟูขึ้น-มีความสัมพันธ์ทางเพศ-เกิดการตั้งครรภ์-คลอดทารกออกมา-เกิดสังคม-ชุมชน-หมู่บ้าน-แว่นแคว้นหรือรัฐ-มีผู้นำสังคม-เกิดการจัดระเบียบความเป็นอยู่-มีการสถาปนายศศักดิ์-เกิดการแบ่งชนชั้น-แย่งชิงยึดครองปัจจัยการดำรงชีพ-เกิดความขัดแย้ง ฯลฯ
จากข้อมูลและการวิเคราะห์ข้างต้น อธิบายได้ว่าอาภัสรพรหม คือเทวดาจำพวกหนึ่งที่มีเรือนร่างผ่องใสแผ่รัศมีได้ มีปีติความอิ่มใจอันเกิดจากสมาธิเป็นอาหาร ไม่จำเป็นต้องแสวงหาอาหารมาใส่ปากก็สามารถดำรงชีพอยู่ได้ แต่เพราะพ่ายแพ้ต่อแรงปรารถนา(ตัณหา)ที่จะลิ้มรสง้วนดิน (ซึ่งเป็นของหยาบ ไม่ใช่อาหารของเทวดา) จึงเผลอสติไปเสพกิน เรือนร่างอันสุกสกาวผ่องใสก็เศร้าหมองหมดราศี ถึงความเสื่อมทางคุณธรรม ความสำนึกทางศีลธรรมเสื่อมสูญตกต่ำ จึงเกิดร่างกายหยาบแบบมนุษย์ขึ้นมา มีเพศชายเพศหญิงสมบูรณ์ เกิดความรู้สึกทางเพศ จึงมีความสัมพันธ์ทางเพศแบบเปิดเผย เมื่อถูกประณามก็สร้างบ้านเรือนขึ้นมาปิดบังการกระทำนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงกล่าวได้ว่ามนุษย์มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ผู้มีกิเลสด้วยกันนี่เอง ไม่ได้มาสืบเชื้อสายมาจากเทวดาหรือเทพผู้ประเสริฐอย่างที่เข้าใจ โดยกำหนดนับว่าความเป็นมนุษย์นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่บรรพบุรุษของเรามีร่างกายหยาบ มีหูมีตาพร้อมทั้งอวัยวะส่วนอื่นๆครบถ้วนอย่างมนุษย์ในปัจจุบัน มีความรู้สึกทางเพศและเริ่มต้นสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นมา
เราจะต้องกำหนดจุดเริ่มต้นของการตัดสินฟันธงให้ชัด โดยเริ่มตรงช่วงเวลาที่เรามีร่างกายแบบมนุษย์ ไม่ใช่เริ่มพิจารณาตั้งแต่ช่วงที่มีกายทิพย์แบบเทวดา ซึ่งจะทำให้วิเคราะห์ผิดพลาด และได้คำตอบที่บิดเบือนความจริง ก่อเกิดทัศนะว่าคนไม่เท่าเทียม มีการปฏิบัติต่อกันอย่างแตกต่างที่เรียกว่าสองมาตรฐาน
ความเป็นเทวดาผู้ประเสริฐได้สิ้นสุดลงตั้งแต่ช่วงเวลาที่เริ่มมีร่างกายหยาบ และไม่สามารถดำรงชีพด้วยพลังปีติอันเกิดจากฌานสมาธิได้อีกต่อไป เป็นการถดถอยกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์เช่นเดิม เช่นเดียวกับช่วงเวลาก่อนที่โลกจะพินาศย่อยยับลงไปด้วยไฟบรรลัยกัลป์นั่นเอง
จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมด สรุปคำตอบได้ชัดเจนว่า
1. โลกก่อกำเนิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยทางกายภาพเข้ามาเกื้อหนุนอย่างพรั่งพร้อม เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ถือกำเนิดขึ้นจากเหตุปัจจัยภายในจิต คือการรับรู้ยึดถือในเพศชายหญิง ก่อเกิดแรงปรารถนาที่อยู่นอกเหนือการควบคุม จึงให้กำเนิดมนุษย์ขยายตัวเป็นสังคมครอบครัว หมู่บ้าน ชุมชน และรัฐต่อมา
2. แหล่งอ้างอิงความเสมอภาคเท่าเทียมกันของมนุษย์นั้น อยู่ที่การได้สถานภาพความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดที่มาเช่นเดียวกัน กล่าวคือแต่ละคนได้สืบเชื้อสายมาจากมนุษย์เช่นเดียวกัน ที่ไม่มีข้อกำหนดกฏเกณฑ์ใดๆเลย ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างไม่เท่าเทียม ส่วนประเด็นเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ภราดรภาพ จะเท่าเทียมกันหรือไม่อย่างไร เพราะอะไร จะขอนำเสนอในครั้งต่อไป
พันธมิตรฯ แตกคอกันเอง
คนเสื้อแดงเข้าเยี่ยม "ทักษิณ" ที่กัมพูชา
เมื่อเย็นวันที่ 16 มีข่าวว่าคนเสื้อแดงกว่า 100 ชีวิต เดินทางข้ามพรมแดนไทย-กัมพูชา ที่ด่านคลองลึก โดยรถตู้มุ่งหน้าสู่พนมเปญ กัมพูชา เพื่อขอพบพบอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่บ้านพักรับรองวงเวียนเอกราช
เช้าวันที่ 17 ธันวาคม ทักษิณ ได้ส่ง SMS ถึงบรรดาผู้ที่ขอรับข้อความผ่านมือถือว่าผมอยู่กัมพูชา มีคนเสื้อแดงมาเยี่ยมเยอะทำให้คิดถึงเมืองไทยมาก
เที่ยงเศษวันเดียวกันอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร พร้อมด้วยนายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งเดินทางไปถึงกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 16 เพื่อเยี่ยมทักษิณในฐานะคนคุ้นเคย พากันลงพื้นที่ชนบทของกัมพูชาเพื่อหาข้อมูลจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจเสนอสมเด็จฮุนเซน
วันเดียวกันที่ด่านอรัญฯ คึกคักทีม ส.ส.พรรคเพื่อไทยพร้อมด้วยคนเสื้อแดงเดินทางเข้าเยี่ยมอดีตนายกทักษิณ โดยมีรถพร้อม รปภ. ของกัมพูชาอำนวยความสะดวก
วันนี้ (18 ธันวาคม) อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ออกมากล่าวว่าดีใจที่มี ส.ส. และคนเสื้อแดงพร้อมบรรดาแกนนำร่วม 300 คน เข้าเยี่ยมและเปิดโอกาสให้ถ่ายรูปทีละคนและภาพหมู่ พร้อมกล่าวกับบรรดาผู้มาเยือนว่า “อยากกลับบ้าน”
ล่าสุดวันนี้สมเด็จฮุนเซนและอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร นั่งเฮลิคอปเตอร์ ตรวจสภาพการพัฒนาและแหล่งน้ำของกรุงพนมเปญ
กกต.ส่อเค้าเลื่อนคดีเงินบริจาค 258 ล้านของพรรค ปชป.
วานนี้ (17 ธันวาคม) นายสมชัย จึงประเสริฐ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ฝ่ายสืบสวนสอบสวน กล่าวถึงคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ ว่ายังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เนื่องจาก กกต. เสียงข้างมากยังไม่ตัดสิน เพราะขาดเอกสารจากกรมสอบสอนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก และยังไม่ได้รับสำเอกสารมาทั้งหมด คงต้องขอเวลาอีกสักระยะจึงจะเรียบร้อย แต่เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ด้วย ปัดไม่ได้เป็นการยื้อเวลาช่วยเหลือพรรคการเมืองอย่างที่มีการวิพากษ์วิจารณ์
วันนี้ (18 ธันวาคม) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่าไม่กังวลคดียุบพรรค แต่ไม่ขอพูดถึง เพราะจะกระทบการทำงานของ กกต.
แต่เมื่อเที่ยเศษวันนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมากล่าวว่ามั่นใจคดีเงินบริจาคไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์เป็นเรื่องส่วนบุคคล
ด้านนางสดศรี สัตยธรรม หนึ่งในคณะกรรมการการเลือกตั้ง ปัดโยนเผือกร้อนให้ประธาน กกต.ชี้ขาด กรณีเงินบริจาค 258 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์
อาจมีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเพราะเหตุใดคดีนี้ถึงใช้เวลาในการพิจารณานานนัก และมีการนำไปเปรียบเทียบกับคดียุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้นจนทำให้ชื่อเสียงขององค์กรอิสระเสื่อมเสีย
ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นคนไทยคนหนึ่งซึ่งมีความเชื่อมั่นในตัวบุคคลและองค์กรอิสระโดยเฉพาะ กกต. ว่ามีความเที่ยงตรง ยุติธรรม ทำงานอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็รู้สึกเป็นห่วงภาพลักษณ์ขององค์กรเนื่องจากขณะนี้ กกต. กำลังถูกเพ่งเล็ง ถูกกดดันจากสังคมรอบทั้งจากชาวไทยและต่างชาติว่ามีการเอียงข้างช่วยเหลือพรรคการเมืองบางพรรค จึงฝากเตือนมาด้วยความเคารพและห่วงใยถึงการใช้วิจารณญาณในการพิจารณาคดีความให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมเหมือนที่คนไทยตั้งความหวังเอาไว้และเป็นที่ยอมรับในสายตาชาวโลก
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เรื่องสั้นการเมือง
คือ..อำนาจนอกระบบ โดย มนต์ เมืองมาย
“เฮ้ยๆ..ไอ้ขาว อย่าจี๊ด..อย่าสิ เอ๊ะ..ไอ้นี่..มึงจะแผ่อาณาจักรไปถึงไหนวะ”
ผมร้องด่าไอ้ขาว แมวพันธุ์วิเชียรมาศ รูปร่างหน้าตาเหมือนแมวไทยทั่วไป ทว่ามีลักษณะโดดเด่นสะดุดตา จมูกแก้มและรอบดวงหน้าของมันเป็นสีน้ำตาลไหม้ เช่นเดียวกับใบหูเท้าทั้งสี่และหาง ส่วนลำตัวใต้ท้องสีหม่น ย้อนขึ้นมาด้านข้างและสันหลังมีสีคล้ายโอวัลตินประมาณนั้น
จำได้ว่าตอนที่เพิ่งคลอดออกมา ตัวมันขาวสะอาดสะอ้านผ่าเหล่าผ่ากออยู่ตัวเดียวโดดๆในจำนวนพี่น้องทั้งสี่ซึ่งมีสีดำล้วนทั้งหมด มันจึงเป็นแมวที่ประหลาดแหกคอกที่สุดในชีวิตของผม เท่าที่เคยประสบพบเห็นมาตั้งแต่เด็กๆกระทั่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่านนายกอภิสิทธิ์ขณะนี้
ตอนเป็นแมวเด็กๆวีรกรรมของมันคือ คาบสตางค์เหรียญบาทเหรียญห้าเหรียญสิบรวมเป็นเงินยี่สิบสามบาท ก่อนจะคาบยกทรงสีแดงมาให้อีกหนึ่งตัวปิดท้าย จากนั้นมันไม่เคยคาบอะไรมาให้อีกเลย หลายคนวิเคราะห์ว่ามันซวยเพราะของเสื่อมในวันที่คาบยกทรง ซึ่งเป็นของเพื่อนบ้านสุดสวยฝั่งตรงข้ามนี่เอง ผมไม่กล้าเอาไปคืน เกรงจะถูกมองว่าเป็นพวกมีรสนิยมทางเพศแบบวิปริตวิตถาร หากเธอไม่เชื่อว่าเป็นผลงานไอ้ขาวจอมซ่า ผมคงไม่พ้นผิดเพราะจนปัญญาจะแก้ตัวกับศาลที่ใช้ระบบกล่าวหาแบบโบราณ ไม่ใช้ระบบลูกขุนพิสูจน์ความจริงอย่างนานาอารยประเทศ
บางทีอาจถูกกล่าวหาว่ากุเรื่องใส่ร้ายป้ายสีสัตว์โลกผู้น่ารักน่าสงสารก็เป็นได้ พวกมูลนิธิปกป้องสิทธิเสรีภาพสัตว์ก็จะเล่นงานผมงอมพระราม จึงแกล้งเป็นใบ้ไม่หือไม่อือไม่นำพา แม้จะรู้ว่าผิดจริยธรรมเพื่อนบ้านที่ดี แต่ช่างเถอะ..ไม่มีใครรู้นี่หว่า และผมก็ไม่ใช่นักการเมืองหรือผู้บริหารองค์กรอิสระในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องไปสำนึกมันหรอก บางคนโกงเงินชาวบ้านที่พวกเขาเอาไปฝากธนาคารนับพันล้านยังไม่สำนึกสำเหนียก ลอยหน้าลอยตาเสพสุขมีบริวารห้อมล้อมได้รับเกีรยติเป็นประธานทอดผ้าป่าสามัคคีถ่ายรูปลงหน้าหนังสือพิมพ์หรา
มาที่เรื่องไอ้ขาว ผมเคยรักใคร่สงสารเอ็นดูมัน ทว่าตอนนี้ชักไม่ปลื้มเสียแล้ว มันเป็นหนุ่มใหญ่ที่ซ่าสุดๆชอบไล่กัดเพื่อนๆรุ่นเดอะรุ่นใหญ่รุ่นกลางและรุ่นหนุ่มน้อยเพิ่งแตกพาน เรียกว่ากัดดะไม่ว่างเว้น ชอบหาเรื่องทะเลาะไปทั่ว มันออกลาดตระเวนรอบหมู่บ้านทั้งกลางวันกลางคืน แล้วปล่อยฉี่จี๊ดตรงนั้นจี๊ดตรงนี้เรื่อยไป อาการฉี่ของมันไม่ใช่ปล่อยโจ๊กปล่อยจ๊ากเหมือนหมูหมาวัวควาย มันมีลักษณะเหมือนเราเหนี่ยวไกปืนฉีดน้ำตอนเล่นสงกรานต์ทำนองนั้น
“มันจี๊ดทำไมครับคุณหมอ” ผมเอ่ยถามในวันพาไปฉีดวัคซีนอะไรสักอย่างที่ลืมไปแล้ว ทำนองเดียวกับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
“มันเป็นการประกาศเขตครอบครองของมัน ทำนองเดียวกับการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจอย่างหน้าด้านๆโดยที่แมวตัวอื่นไม่ได้ยกตีนสนับสนุน มันปฏิวัติเงียบเลยนะคุณ” คุณหมออธิบายเชื่อมโยงจนผมร้องอ้อ เห็นภาพที่เปรียบเทียบถึงมิติชีวิตทางการเมืองของสัตว์และมนุษย์อย่างน่าทึ่ง จึงตั้งใจฟังอย่างสนใจใคร่รู้เป็นพิเศษ
“ให้ตายสิ ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย” ผมสารภาพตามตรงแบบไม่กลัวเสียเหลี่ยมเสียเชิง
“ไม่มีแมวตัวไหนรู้ล่วงหน้า เพราะมันไม่มีหน่วยข่าวกรอง” คุณหมอปล่อยมุขขำๆเรียกรอยยิ้มจากผม ซึ่งเห็นด้วยพันเปอร์เซนต์
“พอมันเดินผ่านมาในเขตปกครองเท่านั้นแหละคุณเอ๊ย ผวาเลย เพราะได้กลิ่นอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่เจ้าถิ่นจี๊ดเอาไว้ มันจะล่าถอยทันที” คุณหมอว่าแล้วเว้นวรรคพักเหนื่อย ผมรีบกล่าวเสริม
“ถ้าไม่ถอยก่อนที่ไอ้ขาวจะลาดตระเวนไปถึง ผู้บุกรุกจะถูกขย้ำตบตีด้วยกรงเล็บอันแข็งแกร่งทรงพลัง อย่างไร้ปรานี” ผมพูดจากประสบการณ์ที่ได้พบเห็นมากับตา คุณหมอพยักหน้า
“ถูก..นั่นเป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่ให้ยอมจำนน ไม่กล้าท้าทายสั่นคลอนอำนาจ”
“อือ..เข้าที พอมันยึดอำนาจได้มันจะหวงอำนาจ สู้ไม่ถอย ตายเป็นตาย เพื่อปกป้องอำนาจ นับถือๆ” ผมช่วยสรุปแบบประชด ใครจะไปนับถือมันได้ลงคอ ผมคิดในใจ
ผมใช้เวลาสนทนากับคุณหมอท่านนั้นนานเป็นพิเศษ เหมือนเพื่อนฝูงคอเดียวกันที่จากกันมานาน ได้รับความรู้ในแง่มุมแปลกๆหาฟังได้ยาก ว่าก็ว่าเถอะ ผมนั่งฟังการบรรยายภาคทฤษฎีทางสังคมวิทยาการเมืองจนจบปริญญามหาบัณฑิต ยังไม่เคยได้ยินเรื่องราวทำนองนี้เลย การพาไอ้ขาวมาพบคุณหมอครั้งนั้นจึงนับเป็นการมายกระดับภูมิปัญญาที่วิเศษสุด ทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านชื่อเรียงเสียงไร ทว่าจากนั้นมาสถานการณ์ทางพฤติกรรมของไอ้ขาวก็ยังไม่ดีขึ้น มันทำเหมือนจะยั่วประสาทผมให้คลั่งหนักยิ่งขึ้นไปอีก
“ไปไอ้หงอก เอ้ย..ไอ้ขาว ไปจี๊ดที่อื่น นี่มันบ้านกูบ้านคนนะโว๊ย..ไอ้เปรต” ผมด่าว่ามันหยาบๆคายๆบ่อยครั้งอย่างเอือมระอา มันได้แต่ทำหูรี่หงอไปชั่วครู่เหมือนเกรงใจผมอยู่เหมือนกัน แต่ใจจริงมันไม่นำพาไม่รู้สึกรู้สา ประเดี๋ยวพอเผลอมันก็จี๊ดเข้าให้ ตามตู้เสื้อผ้าที่นอนหมอนมุ้งจอทีวี เครื่องคอมพิวเตอร์พีซีที่ผมนั่งทำงาน ถูกมันกระโดดขึ้นจี๊ดประกาศเขตปกครองยึดอำนาจเรียบวุธหมดแล้ว
ที่สำคัญกลิ่นอำนาจของมันฉุนใกล้เคียงฉี่คนดีๆนี่แหละ ผมจึงหมดความอดทนกับพฤติกรรมของมัน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากก่นด่าโครตเง่าศักราชมันไปวันๆอย่างอับจนหนทาง แต่ไม่เคยคิดให้มีอัศวินผู้เยี่ยมยุทธที่ไหนมากำหลาบปราบมัน เพราะไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเชื่อมั่นในพลังการขับเคลื่อนของมวลมหาประชาชน ที่เป็นผลมาจากการเรียนรู้ร่วมกันในการปกป้องอำนาจสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ตนเอง
“ไอ้แมวอัปยศ นี่มึงคิดว่าเงินแค่ยี่สิบสามบาท กับยกทรงมือสองเนี่ย เป็นการจ่ายที่คุ้มค่าแล้วใช่มั้ย ที่มึงจะจี๊ดตรงไหนก็ได้” แม่บ้านผมด่าเข้าให้ เหมือนจะยืนยันว่าเธอเองก็ไม่แคร์และเลิกปลื้มผลงานมันมานานแล้ว ทว่ายังพอเห็นความดีความชอบ ยังมีใจเป็นธรรมกันอยู่จึงสู้ทนไม่ขับไสไล่ส่ง แต่ถ้ามันยังตั้งหน้าสร้างแต่ความบาดหมางรำคาญให้เพื่อนบ้านไม่เว้นแต่ละวันเช่นนี้ เห็นทีจะต้องตัดสินใจตัดหางปล่อยวัด
เธอเบื่อหน่ายมันมากไม่ต่างจากผม วันๆได้แต่เปิดเน็ตท่องเที่ยวไปในโลกไซเบอร์ แสวงหาความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนชาวเน็ต ทำอย่างไรถึงจะแก้ไขนิสัยป่าเถื่อนป่วนบ้านป่วนเมืองของไอ้แมวอันธพาลจอมเกเรตัวนี้ได้ ด้วยหวั่นๆว่าวันหนึ่งมันจะถูกเจ้าของแมวที่มันไปหาเรื่องทุบตีก่อกรรมทำเข็ญไว้ คว้าไม้หน้าสามหวดเข้าให้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ผมไม่อยากจินตนาการถึงสภาพแมวถูกตีนอนงอขี้ก้องกลับบ้านไม่ถูก ยังรู้สึกเศร้าใจ สมเพชเวทนาในชะตากรรมสัตว์โลกเหมือนกัน แม้ไม่ได้เป็นประธานมูลนิธิสงเคราะห์สัตว์ก็ตาม
“อย่าเลย มันน่าจะมีวิธีจัดการที่นุ่มนวล เป็นไปตามหลักวิชา” ผมแชทกับเพื่อนในวันหนึ่ง มันนิ่งเงียบไปชั่วครู่เหมือนกำลังใช้ความคิด อันที่จริงมันเอื้อมมือบีบก้นแฟน ฝ่ายหญิงพาดผัวะเข้าให้ ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักแว่วเข้ามาในจินตนาการของผม ก่อนเสนอความเห็นข้างเดียว
“หรือไม่งั้น ก็ต้องหาไอ้ตัวใหญ่ที่มีบารมีกว่ามาถ่วงดุล ช่วยอบรมบ่มนิสัย เผื่ออะไรๆจะดีขึ้น” โชคดีที่ชาวเน็ตหันมาตอบอย่างสุภาพ
“ยากว่ะ..สาดดด สมัยนี้ พูดกันยาก..ไม่ค่อยรู้เรื่อง มันคนละเจนเนอเรชั่น ยิ่งมีบารมีก็ยิ่งแก่ดักดานเป็นไดโนเสาร์ มันยิ่งไม่ฟังใหญ่ ลำบากว่ะ ปล่อยๆไปเหอะ เรื่องของเด็กๆมัน”
“อ้าว..แล้วจะทำยังไง ปล่อยให้มันไล่กัดเพื่อนบ้านยังงี้เรอะ”
“ไปหาหมอซิ มันอาจจะเป็นโรคจิต พอเห็นใครไม่ชอบหน้าก็มองตาขวางใช่ป่าว”
“เออ..ไม่ชอบไปหมดแหละ มันขู่ฟ้อ..อย่างงูอย่างเสือ อีกอย่าง..มันชอบฉี่เรี่อยเปื่อยด้วยว่ะ”
“อ๊ะ..อะไรนะ เหยี่ยวน่ะเรอะ”
“เออ..มันเหยี่ยวเรี่ยราดจี๊ดๆไปทั่ว บ้านข้าตอนนี้ ทั้งห้องนอนห้องครัวห้องรับแขก(ก็ห้องเดียวกันแหละ) จะกลายเป็นส้วมสาธารณะไปแล้ว เซ็งเป็ดเลยว่ะ”
“โอ๊ย..อีแบบนี้ มันเป็นอาการเจ็บป่วยทางจิตและประสาทร่วมด้วยช่วยกันแหง กล้ามเนื้อหูรูดท่อปัสสาวะของมันต้องมีปัญหา จิตใจก็หวาดวิตก..เจือสมกัน รีบพาไปพบหมอด่วนเลย”
“เคยไปมาแล้ว”
“อ้าวเหรอ แล้วไง ทำไมไม่ดีขึ้น หรือว่าค่ายาแพงเกินงบโครงการ เลยปล่อยแม่ง เออ..ถามหน่อย ได้ไปร่วมมั่งป่าว หนามหลวงน่ะ..ที่โดนเอ็ม 79”
เขาถามด้วยคาดว่าอาจมีเหตุวิกฤตอื่นๆที่ส่งผลต่อระบบประสาทผู้ป่วย ทำให้มีอาการผิดปกติทางร่างกายเช่นนี้เป็นที่รู้กันว่าการชุมนุมในที่สาธารณะนั้นหาความสะดวกสบายเหมือนนอนอยู่บ้านไม่ได้ บางรายอั้นฉี่นับสิบชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน เพราะทนรอคิวเข้าส้วมไม่ไหว เรื่องของเรื่องก็คือหน่วยงานรัฐมีความลำเอียงแม้ในการจัดบริการรถสุขาเคลื่อนที่ มันเป็นสุดยอดโศกนาฏกรรมที่ไม่ทราบจะบรรยายเป็นภาษาอะไรกับนานาอารยประเทศ เพราะเขารู้กันหมดทั้งโลกแล้ว เหลือแต่พวกต่างดาว
“เปล่า..ไปทำไมหนามหลวง เบื่อการเมืองบ้าบอคอแตก มาเรื่องนี้ต่อเหอะ..หมาบอกเอ้ย..หมอบอกว่ามันเป็นธรรมชาติ”
“โธ่..ไอ้กร๊วก บ้าหรือเปล่า เหยี่ยวเล็ดเหยี่ยวราดเต็มบ้านซะขนาดนั้น มันผิดธรรมชาติแล่ว มันต้องเป็นอะไรสักกะอย่าง..ชัวร์ป้าด ไปตรวจกับหมอโรงบาลไหนวะ อยากรู้จัง..ง้าวแท้”
“โรงบาลสัตว์..”
“เอ้า..ไอ้เปรต นี่มันเรื่องหมาๆนี่หว่า เสือกแชทมาได้ไอ้เวร..หนักแผ่นดินจริงๆมรึง”
“เปล่า..เรื่องแมวๆโว๊ย..มรึงก็”
“เออ..ครือกัน พอเหอะ เมียนอนรอเงกแล้ว..สาดดด”
“เฮ้อ..เวรกรรม” ผมบ่นพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกหนักอกกับบรรดามิตรสหายในโลกไซเบอร์ ซึ่งนับเป็นแหล่งรวมภูมิปัญญายุคใหม่ แต่ไม่สามารถให้คำตอบที่ผมเฝ้าค้นหามานานได้เลย นี่มันอะไรกัน แผ่นดินนี้อับจนภูมิปัญญาถึงเพียงนี้เชียวหรือ กี่รายที่ผมโพสต์ข้อความสอบถามความเห็น มักจะมีทัศนะออกมาในทำนองเดียวกัน
มันทำให้ผมเริ่มท้อใจไม่รู้จะทำอย่างไรกับปัญหาอันหนักหน่วงที่ผมและภรรยาแบกรับอยู่ ทั้งที่ไม่ได้ผลประโยชน์ตอบแทนใดๆเลย นอกจากเงินยี่สิบสามบาทและยกทรงหนึ่งตัว เงินแค่นั้นจะพอยาไส้ได้สักกี่มื้อ อย่างดีก็ซื้อไวไวได้ไม่เกินสี่ซอง ส่วนยกทรงนั่นแม่ยายก็เอาไปใส่เสียจนเปื่อย เพราะหน้าอกหน้าใจภรรยาผมก็ขนาดคัพบี ดูเอาเถอะ แทบไม่มีใครได้อะไรสักเท่าใด
บางทีเราอาจจะต้องรอคอยจนกว่ามันจะแก่ตายไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ หรือไม่ก็ต้องตัดใจเอาไปปล่อยวัดจริงๆเสียที อย่างที่เคยคิดเอาไว้นานแล้ว ไม่แน่ผมอาจจะตั้งมูลนิธิสงเคราะห์สัตว์รับเงินบริจาคเหมือนใครบางคนที่ถูกแซวเล่นๆว่าเป็นมหาหมาเลี้ยง คือเอาสุนัขบังหน้าทำมาหากินไปวันๆ โดยตัวผมเองยึดตำแหน่งประธานกรรมการบริหารมานั่ง ส่วนตำแหน่งเลขาฯยกให้ภรรยาครอบครอง ถ้าเธอจะขอควบตำแหน่งเหรัญญิกอีกเก้าอี้ผมก็คงไม่ขัดใจ พวกกรรมการก็ลากเอาคนหัวอ่อนพูดจาเออออห่อหมกง่ายๆไม่มากเรื่องมาตั้งเข้าไปพอครบเงื่อนไขครบกระบวนการ เท่านั้นก็จบ
“โฮ..แหล่มเลย” ผมอุทานกับไอเดียกระฉูดสุดเจ๋ง ที่เพิ่งเค้นออกมาได้จากสมองซีกไหนผมก็ลืมๆ หลังจากที่คิดค้นมาสามปีดีดัก เสาะหาข้อมูลพร้อมทั้งเสียเวลาแชทกับเพื่อนชาวเน็ตมาจนเซ็งหลายรอบ
โครงการอย่างคร่าวๆคือผมจะเจียดที่ข้างบ้านสร้างเป็นบ้านน้องแมวแสนรัก ทำกรงให้มันอยู่ล๊อคใครล๊อคมันชัดเจน มีอาณาจักรของใครของมัน ไม่ก้าวก่ายขยายอำนาจลุกล้ำอธิปไตยกันได้อีก ผมจะเป็นคนถ่วงดุลรักษาอำนาจและใช้อำนาจอย่างเที่ยงธรรมเท่าเทียม โดยกฎเกณฑ์กติกาที่กำหนดขึ้นใหม่ ซึ่งให้แมวทุกตัวมีสิทธิเสรีภาพภายในขอบเขตเท่าเทียมกัน เพราะบริเวณบ้านมีพื้นที่จำกัด จะปล่อยให้แมวตัวไหนมาเที่ยวจี๊ดประกาศเขตปกครองอย่างแต่ก่อนไม่ได้อีกต่อไป
“เฮ้อ..จบสิ้นกันที กับปัญหาหนักอกที่สุมหัวจนมึนอึนยองมานาน” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่แท้ภูมิปัญญาทั้งหลายก็อยู่ในหัวผมนี่เอง น่าภาคภูมิใจอะไรเช่นนี้ เสียเวลาแสวงหาอยู่ทำไมตั้งสามปี
ผมกระหยิ่มยิ้มย่องลุกจากที่นอนซึ่งยังคงอบอวลด้วยกลิ่นรัฏฐาธิปัตย์ของไอ้ขาว ก้าวออกไปหน้าบ้านในเวลาพลบค่ำเพื่อเปิดไฟหน้าประตู รอคอยไอ้ขาวจะกลับเข้ามากินอาหาร เป็นมื้อดีนเนอร์ที่สำคัญของมัน ก่อนออกลาดตระเวนคุ้มครองเขตปลดปล่อย ซึ่งว่าที่ประธานมูลนิธิฯอย่างผมได้ตั้งโต๊ะไว้เรียบร้อย มีอาหารเม็ดสำเร็จรูปหนึ่งจานกับน้ำสะอาดหนึ่งถ้วย
“เอ๊..นี่ผมเป็นขี้ข้ามันหรือเปล่า หรือกำลังเข้าไปแทรกแซง ทำตัวเป็นอัศวินขี้ม้าขาว” ผมนึกสงสัยในสิ่งที่ได้กระทำลงไป
“เอาน่า..มรึงก็เลี้ยงมันมาทั้งชีวิต มันชัดอยู่แล้วว่าใครเป็นเจ้านาย ใครเป็นขี้ข้า” ผมตอบตัวเองก่อนตัดสินใจเด็ดขาดยืนยันเจตนารมณ์
“เอาวะ..ใครจะว่าผมเป็นขี้ข้าแมว เป็นคุณมหาแมวเลี้ยงก็ช่าง ต่อไปพอเรื่องของผม มูลนิธิฯของผมถูกตีแผ่โดยสื่อที่ไม่เลือกข้าง ผมต้องดังยิ่งกว่าพลุตกที่สนามหลวงแน่”
“ผมจะกลายเป็นผู้มีจิตใจประเสริฐงดงามในสายตาชาวโลก ผู้ใจบุญจะช่วยสนับสนุนผมด้วยการบริจาคเงินเข้ามูลนิธิฯจนนับไม่หวาดไม่ไหว มีกิจการเป็นของตัวเอง สบายไป”
“และเมื่อผมมีชื่อเสียง พรรคการเมืองก็จะมาเชิญไปเข้าร่วมอุดมการณ์ ได้ลงสมัครส.ส. โอ้..แม่เจ้า แล้วผมจะปั้นหน้ายังไง เวลาขึ้นเวทีหาเสียง โอ..หนักใจ”
“พี่..ไอ้ขาวมาหรือยัง” ผมสะดุ้งตื่นจากฝันตอนหัวค่ำเอ่ยปากบอกภรรยา
“เอ..ยังไม่เห็นหัวมันเลย”
“ไอ้นี่ ไปไหนของมันวะ” ผมบ่นพลางออกเดินตามหา
“เหมี๊ยวๆๆๆๆไอ้ขาว เหมี๊ยวๆๆๆๆขาว อยู่ไหนวะ” เรียกพลางสอดส่ายสายตามองหาตามหลืบมุมรอบบ้าน ก่อนเดินขึ้นไปบนสะพานเส้นทางสัญจรขนาดกว้างหนึ่งเมตรภายในชุมชน บ้านเราเป็นชุมชนเล็กๆอาศัยเช่าที่วัดปลูกอยู่ มันเป็นพื้นที่ราบลุ่มเหมือนท้องนา ด้วยหมู่บ้านจัดสรรรอบๆชุมชนถมที่กันหมด บ้านของพวกเราจึงกลายเป็นชุมชนในแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ รกรุงรังหนาแน่นด้วยต้นธูปฤาษีสูงท่วมหัว มีสัตว์นานาชนิดอาศัยอยู่ร่วมกันเหมือนเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพอย่างแท้จริง จึงไม่แปลกและไม่เหนือความคาดหมายที่ไอ้ขาวจะพากเพียรเข้ายึดครองจนสำเร็จ
“เหมี๊ยวๆๆๆๆๆ..ขาว” ผมเรียกจนเริ่มเหนื่อยเริ่มเซ็ง ก่อนเหลือบไปเห็นไอ้ขาวก้าวขาวิ่งออกจากบ้านไม้ที่ไม่มีเจ้าของอยู่ ตามสะพานไม้กว้างหนึ่งศอกมาแล้วชะงักเบรคตัวโก่ง ขนทั้งตัวลุกซู่ชูชันพองก๋าตั้งท่าสู้ ทว่า..
“เหมี๊ยววววว...แอ๊วววว” มันร้องสุดเสียงคำแรกก่อนแหบโหยครวญครางในลำคอช่วงท้าย เมื่อพิษร้ายแทรกซึมเข้าเส้นประสาทสั่งการของสมอง พร้อมแรงบีบรัดอัดแน่นหนักหน่วงรอบตัว แข้งขาของมันอ่อนแรงจะดิ้นรนถีบข่วนฝ่ายตรงข้ามลงทุกขณะจนเชื่องช้าต่อมา ผมใจหายขนลุกซู่คว้าไม้แถวนั้นคว้าง มันสะดุ้งม้วนตัวรึงรัดทั้งปากยังกัดคอไอ้ขาว พาหล่นลงน้ำจมหายไปในพงต้นธูปฤาษี
จบสิ้นกันทีกับตำนานไอ้ขาวจ้าวอาณาจักรจอมอหังการ์ คงเหลือไว้เพียงความทรงจำระหว่างผมกับมัน ที่อุปถัมภ์คำชูกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย กำลังจะยื่นมือเข้าไกล่เกลี่ยข้อพิพาทขัดแย้งจัดสรรอำนาจให้เกิดการถ่วงดุล ทว่ากลับถูกอำนาจลึกลับไม่ทราบฝ่ายชิงฆาตกรรมสำเร็จโทษเสียก่อน มันมาจากไหน ? มันคืออะไร..? มันมาแล้วไปอย่างไร้ร่องรอย ไร้ระบบกฎเกณฑ์จะลงโทษลงทัณฑ์
***************************
วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เพื่อไทยนัดหารือตั้งผู้นำฝ่ายค้าน
TS Live วันรัฐธรรมนูญ
เสื้อแดงมาตามนัด วันรัฐธรรมนูญ
วันนี้คนเสื้อแดงคึกคัก ตามกำหนดการนัดชุมนุมในวันที่ 10 ธันวาคม เพื่อรำลึกถึงรัฐธรรมนูญไทยและถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้ายู่หัว เที่ยงวันถึงเที่ยงคืน แกนนำคนเสื้อแดงทั่วประเทศมั่นใจสงบ สันติ
เมื่อเวลา 12.00 น. เวทีชุมนุมคนเสื้อแดงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยพร้อมแล้ว โดยตั้งหันหน้าเข้าสี่แยกคอกวัวพร้อมจอมอนิเตอร์ 2 ตัวและรถ 6 ล้อ ติดตั้งเครื่องขยายเสียง
บรรยากาศที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแกนนำ นปช. ส่วนใหญ่เดินทางมาถึงที่เวทีแล้ว ขณะที่คนเสื้อแดงเริ่มทยอยจับจองพื้นที่หน้าเวที
เวลาประมาณ 13.30 น. คนเสื้อแดงนับหมื่นทะลักเข้าร่วมการชุมนุม ขณะนี้ปิดการจราจรถนนราชดำเนินกลาง ตั้งแต่สะพานผ่านฟ้าจนถึงสี่แยกคอกวัวเรียบร้อยแล้ว
เสธ.แดงนำอดีตทหารพรานแถลงข่าวโต้อนุพงษ์
เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น.วันนี้ พล.ต. ดร. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ. แดง นำอดีตทหารพรานออกมาแถลงข่าว โต้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมกับยืนยันเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อรำลึกถึงรัฐธรรมนูญที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
และได้มีอดีตนายทหารพรานออกมาว่า พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา (ผท.ทบ) คิดเอาเงิน 5 ล้านฟาดหัว
เสธ. แดงกล่าวว่าจะมีอดีตนายทหารพราน 200 นาย เข้าร่วมชุมนุม เหตุเพราะ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พล.อ. พัลลภ ปิ่นมณี ให้มาดูแลเรื่องความปลอดภัย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)