วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เซีย ไทยรัฐ : ย้ำชัดจุดยืนต้านรัฐประหาร



ThaiFreedom : มีความคิดเห็นอย่างไรต่อสถานการณ์บ้านเมืองที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน ส่งผลทำให้งานเขียนการ์ตูนซึ่งควรจะเป็นช่วงของการเบรกอารมณ์ในสื่อต้องถูกมองอย่างแบ่งฝ่ายไปด้วย คุณเซียเองก็ถูกวิพากษ์ว่าเป็นการ์ตูนนิสต์เสื้อแดง

เซียไทยรัฐ : ความจริงการ์ตูนเป็นสื่อมวลชนแขนงหนึ่ง ที่แสดงความคิดเห็นจุดยืนและข้อเสนอแนะทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในรูปแบบลายเส้น แทนตัวหนังสือ ในฐานะประชาชนพลเมืองอาชีพหนึ่งที่ไม่ได้วิเศษกว่าคนอื่นๆ เมื่อมีเหตุการณ์บ้านเมืองเข้ามากระทบในจุดไหน เรามีความคิดเห็นอย่างไรก็จะประกาศจุดยืนของเราออกไป และก็เป็นความเห็นของฝ่ายที่รักประชาธิปไตย ที่ได้ทำงานตามแนวทางนี้มานานหลายสิบปี

ประชาธิปไตยที่ว่านั้นไม่ใช่ประชาธิปไตยเพียงแต่ในทฤษฎีหรือที่นำมากล่าวอ้างอย่างบิดเบือน คือเป็นกติกาแบบชาวบ้านที่ว่าทุกคนยอมรับกติกาของบ้านเมืองเคารพสิทธิของกันและกัน ไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน ตั้งมั่นในคุณธรรมจริยธรรม อยู่ในกติกาของสังคม ซึ่งทำให้สังคมสงบสุข เราเติบโตมากับสังคมที่มีความแตกต่างกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกันได้ แต่ไม่ใช่แตกแยก หรือแม้จะแตกแยกอย่างไรเราต้องมีการเจรจาเพื่อให้ประนีประนอมเกิดความสงบสุข ใครที่มุ่งสร้างความแตกแยกกระทั่งมองหน้ากันไม่ติดก็ไม่ต่างจากผู้ร้ายในสังคม ไม่ต่างกับโจรที่รบราฆ่าฟันตีชิงวิ่งราวทุบหัวแย่งข้าวของลักทรัพย์ผู้อื่น ซึ่งผิดกติกาของบ้านเมือง ใครก็ตามที่สร้างวิฤกตในบ้านเมืองจนไม่สามารถรอมชอมกันได้ ทำร้ายจิตใจ ทำลายกติกา ทำให้ผู้คนในบ้านเมืองไม่สามารถจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขเช่นอดีตที่ผ่านมา ผมต่อต้านทั้งนั้น ที่ผ่านมาเราก็คงทราบกันดีว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร ซึ่งบางทีเราแตะต้องเขาไม่ได้

แต่ถึงอย่างไร นักเขียนการ์ตูนหรือสื่อมวลชนก็ได้เปรียบตรงที่เรามีเวทีที่จะนำเสนอ อย่างพี่ๆที่เป็นนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ก็สามารถนำเสนอผ่านตัวหนังสือ สื่อมวลชนที่เป็นทีวีวิทยุก็นำเสนอผ่านช่องทางของเขา ผมเป็นนักเขียนการ์ตูนก็นำเสนอผ่านการ์ตูนของผม ถือว่าได้เปรียบประชาชนส่วนใหญ่ที่ถูกกระทำและไม่มีเวทีที่ไหนนอกจากการไปร่วมชุมนุม เพื่อประกาศจุดยืนของตนเอง ไม่ว่าเสื้อเหลืองเสื้อแดง ใครผิดใครถูกก็ไม่รู้ ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตนเองถูก และแนวคิดของเราอาจไปสอดคล้องกับแนวคิดของพวกเขา ก็เลยถูกเข้าใจว่าเป็นการ์ตูนนิสต์เสื้อแดง

เคยได้ยินคนอ่านเขาพูดว่าการ์ตูนเหมือนหยดน้ำหรือหยาดฝนในทะเลทราย ที่ช่วยปลอบประโลมให้ชุ่มชื่นหัวใจ ในสถานการณ์ที่ถูกสื่อมวลชนกระทำย่ำยีฝ่ายเดียว แม้จะช่วยได้เพียงเล็กน้อยแต่ก็ดีใจ ถามว่าผมจะต้องอยู่ข้างเขาเป็นพวกเขา และเข้าร่วมเคลื่อนไหวในการชุมนุมทุกที่กับพวกเขาอย่างนั้นไหม ก็คงไม่ใช่ ผมไม่มีเวลามากขนาดนั้น แต่อาจจะเป็นการมีส่วนร่วมกันในทางความคิด เป็นการส่งความคิดและกำลังใจผ่านการ์ตูนไปเท่านั้น ผู้ที่จะเข้าร่วมชุมนุมได้จะต้องมีแนวคิดมั่นคงและเสียสละอย่างมาก ซึ่งพวกเราเทียบเขาไม่ได้เลย เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะมีหน้าที่สื่อมวลชนตรงนี้อยู่ แต่ถ้าใครจะบอกว่าผมเป็นคนเสื้อแดง ก็ถือเป็นการยกย่องให้เกียรติว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่มีพลังและเห็นประชาธิปไตยเป็นสิ่งสำคัญ เป็นกลุ่มคนที่เสียสละเพื่อทำให้สังคมดีขึ้น

ThaiFreedom : รู้สึกหวาดกลัวหรือไม่ กับการนำเสนอในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับฝ่ายกุมอำนาจรัฐ ตั้งแต่ในช่วงที่มีการทำรัฐประหารที่ผ่านมา

เซียไทยรัฐ : รู้สึกหวั่นๆเหมือนกัน แต่เท่าที่ผ่านมาฝ่ายตรงข้ามก็เล่นเกมกับเราเล็กน้อย เช่น ฟ้องร้องเรื่องจริยธรรมของสื่อ ด่าว่าปล่อยข่าวทำลายกันทางทีวี โพสต์ข้อความเสียๆหายๆตามเวบไซต์ มีการเล่นสงครามประสาทบ้าง เช่น โทรมาก่อกวนตอนตีสาม เป็นต้น ปล่อยข่าวว่าไปรับเงินรับทองที่ฮ่องกง ซึ่งเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เป็นวิธีการจ้องทำลายความน่าเชื่อถือ ซึ่งผมก็ไม่ได้หวั่นไหวอะไร ผมอยู่ตรงนี้มา 30 ปีแล้ว เข้าใจดีว่าการเมืองบ้านเราเป็นอย่างนี้ เมื่อเราแสดงความคิดเห็นไม่ตรงกับเขาก็มีการข่มขู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงขนาดใช้กำลัง เพราะการ์ตูนของผมอาจจะไม่แรงมาก ต่างกับยุคของอาจารย์ประยูร จรรยาวงศ์ ที่เขียนการ์ตูนแรงมาก ผู้มีอำนาจยุคโน้นก็ใช้อำนาจมากกว่ายุคนี้ แต่ปัจจุบันผู้มีอำนาจเขาก็ไม่ได้เบามือลง เพียงแต่เขาเกรงกลัวกระแสสื่อมวลชน เพราะสิ่งที่เขาทำไม่ได้ถูกจำกัดการรับรู้แคบๆเฉพาะในเมืองไทย แต่ได้ถูกกระจายไปได้กว้างไกลรวดเร็วทั่วโลกโดยเทคโนโลยีสารสนเทศ เขาจึงระมัดระวังและมีพฤติกรรมลับลวงพรางมากขึ้น เขายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือนิสัยยังไม่เปลี่ยนและเป็นผู้มีอำนาจกลุ่มเดิม ถ้าเป็นยุคอดีตผมอาจถูกเล่นงานไปแล้ว เหมือนอาจารย์ประยูร ที่ถูกสั่งปิดการพิมพ์หนังสือเป็น 10 ปี นักการเมืองก็ถูกฆ่า

ThaiFreedom : มีผู้ให้ความเห็นว่าลายเส้นการ์ตูนของเซียช่วงหลังมีความแหลมคมชี้นำถึงขนาดว่าควรจะต่อสู้อย่างแตกหักกับฝ่ายกุมอำนาจปัจจุบัน

เซียไทยรัฐ : อาจจะเป็นไปตามอารมณ์ในบางช่วง ความจริงข้อมูลการเขียนส่วนใหญ่ผมไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่ได้มาจากการอ่านหนังสือ ดูทีวี อินเตอร์เน็ต แล้วประมวลเข้ามา บางมุขผมนำมาจากข้อคิดเห็นที่มีคนโพสต์กันไปโพสต์กันมาในเวบ ยังนึกไม่ออกว่าภาพไหนได้ชี้นำทำนองนั้น แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นการนำเสนอไปตามอารมณ์ตามกระแสในขณะนั้น เพราะเราได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองทั้งวัน ทำให้มีอารมณ์ร่วมว่าทำไมบ้านเมืองมันถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมพูดอย่างนี้ทำอย่างนี้ แม้แต่พวกสื่อด้วยกันเมื่อเกิดความผิดพลาด ก็จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กัน ฉะนั้นการเขียนการ์ตูนมันไม่ใช่แค่เขียนภาพธรรมดา มันเหมือนเรากำลังอยู่ในสมรภูมิการต่อสู้ บางครั้งจึงมีอารมณ์ร่วมทำให้หลุดออกไปอย่างนั้น ความจริงไม่ต้องการแตกหัก ผมอยากเห็นการประนีประนอมพูดคุยกัน เพื่อแก้ปัญหากันให้ได้ แต่ปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้ว่าทิศทางข่าวเป็นไปในทำนองกระทำย่ำยีฝ่ายเดียว เราจึงอยากเปิดมุมมองอีกด้าน อย่างน้อยก็เพื่อให้ฝ่ายถูกกระทำได้มีที่ยืนมีที่พิงบ้าง

ThaiFreedom : แม้แต่เรื่องอำมาตย์หรือมหาอำมาตย์ที่กำลังพูดถึง บางคนอาจไม่เข้าใจ แต่ภาพการ์ตูนของเซียได้สื่อเข้าไปแบบทะลุทะลวงจนคนเข้าใจว่าคือใคร กำลังทำอะไรอยู่ ไม่ทราบว่ามีอะไรเป็นตัวจุดประกายให้สามารถถ่ายทอดตรงนี้ออกมาได้

เซียไทยรัฐ : คงเป็นเพราะประสบการณ์ ความจริงคำว่า อำมาตยาธิปไตย ผมเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเขียนออกมาได้ อีกอย่างหนึ่ง ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หากมีบางถ้อยคำที่ล่อแหลม ถึงจะได้ยินได้ฟังใครอธิบายมาทั้งข่าวซุบซิบข่าวลึกข่าวลับอย่างไร ถ้าในไทยรัฐยังไม่มีการนำเสนอ ผมก็ยังเขียนออกมาไม่ได้ มันเป็นจุดยืนของการทำสื่ออย่างหนึ่งที่ต้องอยู่ภายใต้อาณัติของบรรณาธิการ ซึ่งจะต้องดูทิศทางของข่าวว่าได้มีการชี้ชัดหรือยัง หากมีการชี้ชัดโดยเฉพาะในหน้าข่าวการเมืองเราก็สามารถเขียนได้ และการ์ตูนก็ได้เปรียบตรงที่มันเป็นภาพที่เห็นชัดเจน ไม่เหมือนการบรรยายเป็นตัวหนังสือที่อาจตีความเบี่ยงเบนคาดเดากันไปได้ ครั้งหนึ่งเคยมีคนเสื้อเหลืองต่อว่าผมว่าวิจารณ์พวกเขาว่าเขาอยู่ได้ และเผยแพร่อยู่ได้นาน ไม่เหมือนการพูดออกวิทยุทีวี ที่พูดแล้วก็หายไปในอากาศ ภาพการ์ตูนได้เปรียบตรงที่อยู่ได้นาน สามารถนำไปโพสต์ไว้ตามเน็ตกระจายไปทั่ว ช่วยตอกย้ำให้คนได้รู้ได้เห็นซ้ำๆเป็นเวลานาน

ThaiFreedom : ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ถือว่าได้ประกาศจุดยืนที่ชัดเจน หากย้อนไปเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน คิดว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

เซียไทยรัฐ : จุดยืนของผมชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มเขียนการ์ตูน ตอนเขียนใหม่ๆไฟยังแรงก็ยิ่งสนุก ตอนนั้นเขียนให้อาทิตย์รายวัน ต่อต้านเผด็จการชัดเจน อยู่ข้างเกษตรกร ข้างแรงงาน อยู่ข้างฝ่ายประชาธิปไตยมาโดยตลอด ถือว่าได้ประกาศจุดยืนชัดเจน เพียงแต่ยุคแรกอาจเป็นสื่อที่มีตลาดคนอ่านแคบ คนอาจจะรับรู้ได้ไม่กว้าง ก็ทำให้ไม่เป็นที่รู้จัก เดินไปไหนไม่มีใครพูดถึง แต่เราก็ภาคภูมิใจในผลงานของเรา รู้กันอยู่ในหมู่พี่ๆน้องๆที่ทำสื่อด้วยกัน แต่พอได้มาทำในสื่อที่โตขึ้นอย่างบ้านเมือง สยามรัฐ เป็นต้น ก็มีคนรู้จักเพิ่มขึ้น กระทั่งสุดท้ายมาอยู่ไทยรัฐวันนี้ จุดยืนก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน โชคดีตรงที่ได้มาอยู่บนเวทีที่ใหญ่มีคนอ่านมาก ผลงานจึงกระทบคนส่วนใหญ่ แต่ก็ทำให้ผมระมัดระวังในการเขียนมากขึ้น ไม่เหมือนตอนอยู่สำนักพิมพ์เล็ก ที่เมื่อกระทบใครบ้างก็เป็นจุดเล็กๆไม่ถูกฟ้องร้องมากมาย ไม่เหมือนตอนนี้แม้จะกระทบกระทั่งเล็กๆก็มีผล จึงต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น ต้องแสวงหากลวิธีในการเขียนมากขึ้น

แต่ช่วงนี้อาจจะเขียนแรง ความจริงผมเขียนแรงตั้งแต่ช่วงคมช.ยึดอำนาจ เหมือนกำลังต่อต้านตรงๆในภาคสนาม กระทั่งตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดหุ่นชัก ผมรู้สึกว่าได้ใช้ความสามารถประกาศจุดยืนเต็มที่ แต่แน่นอนว่าถึงเราจะรู้สึกว่าต่อสู้เต็มที่ การ์ตูนก็คือการ์ตูน ที่ทำให้คนอ่านได้สนุกเฮฮาได้แนวคิด แต่ไม่มีพลังต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมมากนัก เพราะสังคมนี้เป็นสังคมของคนมีพลังอำนาจ สื่อสารมวลชนอย่างพวกเราคงได้แต่พูด แต่ก็ถือว่าได้เป็นปากเสียงให้ประชาชนคนส่วนใหญ่แล้ว

ThaiFreedom : ในอดีตภาพการ์ตูนเพียงหนึ่งภาพของอาจารย์ประยูร มีพลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ปัจจุบันภาพการ์ตูนไทยของเรามีคุณภาพพอที่จะสามารถสร้างผลสะเทือนอย่างนั้นได้หรือไม่

เซียไทยรัฐ : คงจะประเมินได้ยาก เพราะยุคนี้มีความแตกต่างจากยุคของท่านอาจารย์ประยูรตรงที่มันมีสภาพที่เรียกว่าลับลวงพรางมาก สื่อมวลชนก็มีไม่กี่ฉบับรวมตัวกันได้ เวลาจุดประเด็นออกมามันก็ชัด ในยุคนี้สื่อมีหลายค่ายแบ่งเป็นฝักฝ่ายจึงไม่มีพลัง เราถูกทำให้แตกแยกมาตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 เช่นเดียวกับพลังมวลชนต่างๆก็รวมกันไม่ติด ผมว่าช่วง 14 ตุลาคม มันเป็นเกมที่เขาคาดไม่ถึง แต่ขณะนี้มันไม่ใช่ ฝ่ายกุมอำนาจเขาเข้าใจดี และเป็นฝ่ายกำหนดเกมเล่นเองแล้ว สื่อเองก็ถูกเล่นงานอยู่ แต่เราก็ทำของเราเต็มที่ ในเมื่อสภาพสังคมยังเป็นอย่างนี้ ยังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย สังคมยังคงลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งเย้ายวน หรือต้องวุ่นวายอยู่กับการทำมาหากิน ภายใต้เงื่อนไขอย่างนี้เราคงทำอะไรได้ไม่มาก แต่ก็พยายามทำงานของเราไป

ThaiFreedom : ไม่ทราบว่าอารมณ์ของการ์ตูนนิสต์ปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไปไหม เมื่อก่อนเซียเคยเขียนภาพอาจารย์ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ออกมาดูน่ารัก แต่ในปัจจุบันรู้สึกว่าลายเส้นมันแสดงถึงการทิ่มแทงเข้าไปลึกถึงการเปลี่ยนแปลงแบบขุดรากถอนโคน

เซียไทยรัฐ : รัฐบาลในอดีตที่เข้ามาตามระบบการเลือกตั้ง มีปัญหาเรื่องการซื้อเสียงบ้าง ก็เป็นที่ทราบกันดี แต่ก็มาตามระบบ คุณบรรหา ศิลปอาชา แม้จะไม่ได้รับการชื่นชมอย่างไร ผมก็ไม่เคยเขียนในทำนองให้เสียหาย ก็เพียงแต่ล้อเล่นกันไปแบบสนุกสนาน และเมื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาลก็เป็นไปตามวิธีการปกติ แล้วก็แล้วกันไป ผมไปเคยตามไปเขียนต่อว่า มันเป็นการเมืองปกติธรรมดา ไม่มีการทำร้ายกัน แต่ยุคนี้มันไม่ธรรมดา มันมีการวางแผนทำร้ายกันล่วงหน้ามาหลายปีเพื่อจะเข้ามาสู่ตำแหน่ง และไม่จบง่ายๆ มีการวางแผนทำร้ายถึงขั้นเอาชีวิต ผมเชื่อว่ามีการวางแผนสังหารแน่นอน โดยคนที่เข้ามาสู่ตำแหน่งเสวยสุขก็ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดเกมนั้นด้วย ฉะนั้นจึงเรียกได้ว่าเข้ามาสู่ตำแหน่งอย่างไม่ธรรมดา เขายอมทำทุกอย่างแม้แต่การทำลายชีวิตนักการเมืองด้วยกัน ขอเพียงให้ได้เป็นรัฐบาลเท่านั้น จะต้องฆ่าใครก็ไม่เป็นไร ต่างจากสมัยก่อน ดังนั้นอารมณ์ในการเขียนการ์ตูนของเราก็เลยเปลี่ยนไป เพราะเข้าไปมีอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์ตรงนั้นเหมือนร่วมอยู่ในสมรภูมิด้วย เหมือนคนเสื้อเหลืองเสื้อแดงทั่วไป เพราะกระแสข่าวมันเป็นอย่างนั้น ใครถือหางข้างไหนก็อยากจะปกป้องช่วยเหลือข้างนั้น เพราะมันมีความอำมหิตเหลือเกิน สังคมขณะนี้มันไปถึงขั้นว่ามีคนพร้อมจะโดดลงไปร่วมหัวจมท้ายกับฝ่ายที่ตนเห็นด้วย แม้จะรุนแรงก็พร้อมร่วมด้วย

ThaiFreedom : ในอดีตแม้จะมีความโกรธเกลียดกันอย่างไร แต่ภาพการ์ตูนที่ออกมาก็ยังดูน่ารัก แต่การ์ตูนนิสต์บางคนในปัจจุบันเขียนภาพออกมาแบบหยาบโลน เซียมีความรู้สึกต่อกรณีนี้อย่างไร

เซียไทยรัฐ : ผมคงไม่กล้าก้าวล่วงวิจารณ์ผลงานใคร แต่ตามหลักการการ์ตูนควรเป็นการ์ตูน เป็นงานที่แฝงไว้ด้วยความขบขัน คนดูแล้วหัวเราะออกมาได้และให้แง่คิด ถึงแม้จะเขียนรุนแรงอย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ดูแล้วเกิดความสยดสยองขยะแขยงออกอาการแหวะรับไม่ได้ หรือมีลักษณะเป็นงานโฆษณาชวนเชื่อ มีคนวิจารณ์การ์ตูนผมอย่างนี้เหมือนกัน อาจจะดูชี้นำไปในทางรุนแรง ก็อย่างที่บอกว่ามันอาจเป็นเพราะอารมณ์พาไป แต่ก็พยายามทบทวนงานของตนเองตลอดว่าได้วาดอะไรลงไปในแต่ละวัน สำหรับงานของคนอื่นเราคงวิเคราะห์เจตนาเขาไม่ออกว่าเป็นเพราะอารมณ์พาไป หรือเพราะเขาเป็นอย่างนั้นคิดอย่างนั้นจริงๆ นักเขียนการ์ตูนไม่มีองค์กรเข้ามาตรวจสอบ ก็แล้วแต่ว่าประชาชนจะชื่นชอบคนไหนค่ายไหนก็เลือกกันไป

ThaiFreedom: ในวงการการ์ตูนนิสต์บ้านเรามีการพบปะพูดคุยกันถึงแนวทางการทำงานบ้างหรือไม่ เพื่อให้มีทิศทางเดียวกัน ในสภาพบ้านเมืองที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างนี้

เซียไทยรัฐ : ขณะนี้เรามีการรวมตัวกันเป็นสมาคมการ์ตูนไทย แต่ก็เป็นนักเขียนการ์ตูนที่หลากหลาย ไม่จำกัดเฉพาะการ์ตูนแนวการเมืองเท่านั้น เมื่อเร็วๆนี้ก็มีการพบปะกินเลี้ยงกัน มีสมาชิกสมาคมที่เป็นทั้งเด็กผู้ใหญ่ตามประเภทการ์ตูนที่เขียนกัน เราพูดคุยกันในเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับการพัฒนาการเขียน การตลาด การทำธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องของเนื้องานจริงๆ ส่วนแนวคิดในการทำงานเราจะไม่พูดถึง เพราะแต่ละคนมีแนวคิดของตนเอง ส่วนการ์ตูนนิสต์แนวการเมืองก็ได้พบปะกันบ้างอย่างประปราย แต่ก็ไม่ได้พูดคุยเรื่องการเมืองอย่างที่จะกำหนดแนวทางร่วมกันได้ เพราะแนวคิดทางการเมืองเป็นเรื่องพูดกันลำบาก แม้แต่สามีภรรยายังมีความเห็นแตกต่าง ทำให้คุยกันยาก

ThaiFreedom : มีความคิดเห็นอย่างไร ต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่มีผู้สนใจเขียนการ์ตูนแนวการเมืองกันมากขึ้น

เซียไทยรัฐ : คิดว่าเป็นเรื่องดี แสดงว่ามีผู้คนกำลังแสวงหาช่องทางแสดงความคิดเห็น ขณะเดียวกันก็เป็นการแสวงหาช่องทางสร้างอาชีพด้วย ถ้าสื่อมวลชนจะช่วยเปิดพื้นที่ตรงนี้เพิ่มขึ้นก็จะเป็นเรื่องดี แต่ก็จะมีข้อจำกัดเรื่องหน้ากระดาษและค่าใช้จ่าย จะสังเกตเห็นว่าพื้นที่การ์ตูนในหนังสือพิมพ์หรือวารสารต่างๆนั้น มีกำจัดมาก ถึงจะมีพื้นที่ให้แต่ค่าตอบแทนก็ไม่สูง อย่างผมเองก็ต้องทำงานอื่นควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่เขียนแต่การ์ตูนอย่างเดียว แต่ว่านักเขียนการ์ตูนบางคนเขาเขียนด้วยใจรัก ขอให้ได้ลงตีพิมพ์ก็ดีใจแล้ว เหมือนผมตอนเขียนใหม่ๆ แต่พอเขียนเป็นอาชีพนานไปได้ค่าตอบแทนบ้าง เราก็พออยู่ได้ ขณะเดียวกันก็หางานอื่นทำควบคู่ไปด้วย ผมเองอยากส่งเสริมนักเขียนรุ่นใหม่ เวลาไปที่ไหนก้พยายามบอกให้เปิดเวทีให้มาก แต่ในเมื่อหน้ากระดาษและเงินลงทุนมันจำกัดก็เลยทำไม่ได้ ผมก็ไม่สามารถจะสนับสนุนพวกเขาได้ นักเขียนการ์ตูนบ้านเราจึงอาภัพตรงนี้ สิ่งที่ผมสนับสนุนได้ตอนนี้ก็คือการไปจัดเข้าค่ายอบรมการเขียนการ์ตูนตามโรงเรียน แล้วเชิญพี่ๆน้องๆนักเขียนการ์ตูนไปเป็นวิทยากร เป็นการทำกิจกรรมเชิงสังคมไปด้วย ตัวผมเองก็ไปสอนการเขียนการ์ตูนเป็นประจำ ไปร่วมเป็นกรรมการให้แนวคิดในการตัดสินหนังสือการ์ตูนที่ส่งเข้าประกวด ก็ได้ทำมาอย่างนี้ตลอด

ThaiFreedom : การเขียนการ์ตูนอยู่ในสถาบันใหญ่อย่างไทยรัฐที่มีความหลากหลายทางความคิด มีแรงกดดันมีคำสั่งไม่ให้เขียนอย่างนั้นอย่างนี้บ้างหรือไม่

เซียไทยรัฐ :ก็มีบ้าง แต่อยู่ในลักษณะที่ยอมรับได้ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐใจกว้าง แต่ตัวเราเองก็ต้องรู้ว่าอะไรแตะต้องได้หรือไม่ได้ เหมือนเป็นการช่วยกันคัดกรองไม่ให้เกิดผลเสียในวงกว้าง คือไม่ให้ไปกระทบสิทธิเสรีภาพผู้อื่น แม้แต่การวิจารณ์นักการเมืองก็จะทำในหน้าที่การงานภาพรวมของเขา จะไม่ลุกล้ำสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ในเรื่องส่วนตัวหรือครอบครัว ซึ่งไม่ใช่เรื่องสาธารณะ อันนี้ก็จะต้องงดเว้นไม่วิพากษ์วิจารณ์ เราจะต้องมีวิธีที่จะพลิกแพลงงานเขียนให้สามารถนำเสนอได้โดยไม่ตกเป็นเหยื่อการฟ้องร้อง

ThaiFreedom : ที่ผ่านมาได้ถูกฟ้องร้องกี่คดีแล้ว
เซียไทยรัฐ : ไม่ถึงขนาดเป็นคดี เพียงแต่ถูกร้องเรียนให้ตรวจสอบเรื่องจริยธรรมของสื่อ ซึ่งดำเนินการโดยพรรคประชาธิปัตย์ เขาร้องเรียนให้สอบสวนว่าผมวิพากษ์วิจารณ์เขาอย่างมีอคติ โฆษกทั้งสามคนของรัฐบาลดาหน้าออกมาโจมตีผ่านเอเอสทีวีทุกวัน แต่เขาจะไม่ฟ้องร้องเอง จะให้ชาวบ้านเป็นผู้ร้องเรียน แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก มันเป็นเรื่องจริยธรรมเท่านั้นเอง ผมก็พร้อมที่จะไปให้ปากคำ

ThaiFreedom : มีความรู้สึกอย่างไรกับนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เซียไทยรัฐ : ก็น่ายินดีที่คนอายุรุ่นนี้ได้ขึ้นเป็นนายก แต่การที่ผมวิพากษ์วิจารณ์ก็ทำบนพื้ฐานของการที่ท่านเป็นนายก ไม่ใช่เป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เวลาไปร่วมงานสมัชชาประชาชนได้พบท่านก็ไหว้ทักทายตามปกติ หลังจากนั้นสองปีพบท่านอีกครั้งก็ยังจำผมได้ ล่าสุดไปพบท่านที่งานสัมมนาสื่อมวลชน ท่านก็ยังพูดว่ามีคอมลัมน์หน้าสามด่าท่านทุกวัน แต่ไม่ว่าอะไรหรอก จะนำไปปรับปรุงการทำงาน ผมคาดเดาว่าก็คงพูดถึงผมนี่แหละ ไม่ใช่ใครที่ไหน สมัยท่านชวน หลีกภัย เป็นนายกผมก็เขียนอย่างนี้ แต่พอท่านพ้นตำแหน่งไปแล้วผมก็ไม่ได้พูดถึงอีกเลย ถือว่ามันจบไปแล้ว คุณชวลิตก็เหมือนกัน แล้วก็แล้วกันไป

ThaiFreedom : รู้สึกอย่างไรในช่วงที่เขียนถึงกลุ่มพันธมิตรฯที่มีสื่อบางคนเป็นแกนนำร่วมอยู่ในนั้น มันเหมือนเป็นการกระชากหน้ากากเขาออกมา ซึ่งตรงกันข้ามกับคำกล่าวเชิงคาดหวังที่ว่าแมลงวันไม่ควรตอมแมลงวันด้วยกัน

เซียไทยรัฐ : ผมว่ามันเป็นสิ่งที่สื่อน่าจะได้ทบทวนคำกล่าวนี้ ซึ่งพูดกันมานานแล้วว่าสื่อไม่ควรแตะต้องสื่อด้วยกัน สำหรับในกรณีนี้ แรกเริ่มเดิมทีผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เจ้านายผมเองก็บอกว่าไม่อยากให้ยุ่งเกี่ยววิพากษ์วิจารณ์ในฐานะที่เป็นสื่อด้วยกัน ความจริงก็เป็นพรรคพวกเพื่อนฝูงศิษย์เก่ากันทั้งนั้น ตอนที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ทำหนังสือไทยเดย์ก็เคยให้คนโทรมาบอกให้ผมไปช่วยเขียนการ์ตูน กำลังจะเจรจากัน พอดีมีเรื่องการเมืองยุ่งๆเข้ามาก็เลยยกเลิกไป ตอนหลังมีเรื่องว่าสื่อไปรับเงินมาเขียนเข้าข้างฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ ผมเห็นว่ามันไม่ถูกก็เลยเขียนถึง ถ้าปล่อยไว้อย่างนั้นไม่พูดถึงเลย มันก็เน่ากันไปหมด ทั้งที่เราก็รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะนั่งอยู่โต๊ะข่าวเดียวกัน ทำไมจะไม่รู้ ทำไมเราวิจารณ์นักการเมืองคนนั้นคนนี้ว่าโกงชาติโกงแผ่นดิน แต่ตัวเราเองทำถูกต้องหรือเปล่า พากันไปงานเลี้ยงไม่ต่างจากอีแร้ง ไปรับของเขามา ถ้าเขาต้อนรับไม่ดีเลี้ยงไม่ดีก็ว่าเขา อยากได้ของฟรีก็โทรไปไถเขา บอกจะจัดงานอย่างโน้นอย่างนี้ขอเบียร์เขา ผมอยู่ตรงนี้มานาน รู้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ ตอนเขียนด่าเขาคุณพาดหัวหน้าหนึ่ง แต่ตอนขอโทษคุณลงให้เขานิดเดียว นี่แหละที่เขาเรียกว่าเป็นฐานันดร 4 เพราะสิ่งที่ทำมามันผิด แต่ไม่มีใครกล้าพูด สมาพันธ์ฯมีไว้เพื่ออะไร หรือว่ามีไว้เพื่อฟอกขาว

ThaiFreedom : เขียนการ์ตูนมา 3 ทศวรรษแล้ว รู้สึกว่ายุคไหนเขียนได้ปลอดโปร่งโล่งใจที่สุด ยุคไหนอึดอัดใจที่สุด
เซียไทยรัฐ : ผมรู้สึกว่าเขียนสนุกมาตลอด แต่ในยุคแรกที่เขียนให้กับอาทิตย์รายวันและรายสัปดาห์ ที่ต้องรบกับป๋าตลอดนั้น ถือว่าเป็นงานที่สนุกท้าทาย และเป็นช่วงของการแสวงหาตนเองไปด้วย ได้เห็นพัฒนาการของการเมืองในยุคป๋าเรื่อยมา พอมาเขียนเรื่องอำมาตย์ก็มีคนแปลกใจว่าเขียนได้อย่างไร ผมก็บอกว่าได้รู้เห็นเรื่องพวกนี้มานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งรู้หรือเพิ่งเขียน รู้หมดว่าท่านขึ้นสู่ตำแหน่งผบ.ทบ.อย่างไร เล่นงานพลเอกเกรียงศักดิ์อย่างไร ป๋าเกี่ยวข้องกับเรื่องเมษาฮาวายอย่างไร เราติดตามอ่านข่าวก็เห็นมาตลอด จึงรับรู้ว่ามหาอำมาตย์ใหญ่ไม่ใช่เทวดา แต่นักข่าวรุ่นใหม่อาจรับรู้ไปอีกแบบ

ท่านเป็นผู้นำคนแรกที่สร้างกติกาบ้าๆบอๆขึ้นมา ไปไหนต้องมีคนคอยยืนชูป้ายต้อนรับ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยพบเคยเห็น ในยุคนั้นมีนักการเมืองรับเงินจ่ายเงินกันหน้าห้องน้ำเพื่องดเว้นการไม่อภิปรายรัฐบาล ไม่ยอมเล่นกันตรงๆอภิปรายกันตรงๆตามกติกา เพราะความที่ตนเองหนังบางไม่ใช่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง จึงไม่สู้กันในสภา แพ้ชนะก็ว่ากันไปตามกติกา ใช้เงินไม่พอยังใช้ทหารมาตบเท้าอีก เป็นการเริ่มต้นสร้างวัฒนธรรมแย่ๆมาตั้งแต่นั้น ผมว่าการที่ทักษิณถูกไล่ออกก็เป็นผลพวงของการเมืองแบบเก่าๆนี่เอง คุณไปสอนเขามาอย่างนั้น สอนให้เขาถือกระเป๋าคอยแจกเงินมาตั้งแต่ต้น เขาเห็นตื้นลึกหนาบางของคุณมาตั้งแต่ต้นแล้วเขาจะเคารพคุณหรือ ก็คุณไปเล่นงานเจ้านายเขาจนงอมพระรามอย่างนั้น อย่าไปโทษว่าเขาไม่จงรักภักดีเลย และชอบใช้สถาบันทหารมาเป็นอาวุธ พวกพรรคการเมืองก็แย่ อย่างคุณชวนเองก็เคยถูกเล่นงานต้องหนีหัวซุกหัวซุน แต่พอตนเองขึ้นมามีอำนาจก็ทำอย่างนั้น เอาวิธีการนั้นมาเล่นงานคนอื่น เมื่อรู้อย่างนี้แล้วควรจะละเว้นไม่เขียนถึงได้ไหม

ThaiFreedom : เมื่อประมาณสองเดือนที่แล้ว เซียเขียนภาพใครคนหนึ่งนั่งบนรถเข็น ไม่ทราบว่ามีนัยสำคัญอะไร

เซียไทยรัฐ : ผมเขียนถึงคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่เค้าหน้ามันอาจกระเดียดไปทางนั้น ทำให้ถูกโจมตีได้ มันเป็นช่องโหว่ที่เราพลาดไปเอง เหมือนเปิดการ์ดให้เขาทิ่มหมัดเข้ามา แต่ไม่เป็นไร เจ้านายเขาเข้าใจ เพราะได้ดูงานผมทุกภาพว่าเขียนถึงใครอย่างไร แต่หลังจากนั้นก็มีคนนำไปโพสต์ลงเวบกันมาก ก็เลยถูกเล่นงาน เมื่อเร็วๆนี้ก็มีน้องนักข่าวสายทหารโทรมาถามว่า มือที่ชักใยเป็นมือใคร ผมตอบว่ามือป๋าไง เขาบอกว่าทหารชอบเลยฝากถามมา ถามว่าทำไมต้องปะพลาสเตอร์ ก็ป๋าโดนเล่นงานสะบักสะบอมก็เลยปะพลาสเตอร์ แต่หลายคนก็ตีความเกินเลยไปกว่านั้น ต่อมาก็มีคนช่วยนำภาพคุณสุเทพมาโพสต์ยืนยัน เรื่องจึงเงียบไป ใครจะไปกล้าเขียนขนาดนั้น ผมว่าเขาก็รู้แต่ต้องการจ้องจับผิดสร้างเรื่องทำลายผมเท่านั้นเอง

ThaiFreedom : รู้สึกหวั่นไหวไหม กับการถูกติฉินนินทาว่าเขียนการ์ตูนเพื่อรับใช้ทักษิณ
เซียไทยรัฐ : ไม่หวั่นไหว เพราะผมไม่เคยรู้จักใครที่ใกล้ชิดท่านทักษิณ นอกจากคุณสุธรรม แสงประทุมคนเดียว เคยพบท่านครั้งเดียวในงานการกุศลที่ทีเคปาร์ค ได้พูดคุยกันธรรมดา ผมเองก็ไม่ใช่คนวิเศษวิโสอะไรที่ท่านจะต้องมาติดต่อเป็นพิเศษ ใครมาพบผมที่สำนักงานก็จะเห็นสภาพความเป็นอยู่ของผมแบบนี้ ใครมากี่ครั้งก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรฟู่ฟ่าหรูหราขึ้นเลย ไม่ได้อยู่คฤหาสน์หลังใหญ่ เขียนการ์ตูนมันไม่พอกินหรอก ผมถึงต้องมาเปิดร้านอินเตอร์เน็ตเล็กๆ และก็ไม่ได้เปิดตลอด 24ชั่วโมง ถ้าเป็นนักเรียนในเครื่องแบบเข้ามาตอนแปดโมงถึงบ่ายสองโมงผมก็ไม่ให้เข้า พอถึงสามทุ่มก็ปิดแล้ว คือเราไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่านี้ได้ เพราะเราอยู่ในจุดที่ทำงานในเชิงสังคมด้วย สอนคนมาก็มาก สอนในเรื่องวิชาการเขียนการ์ตูนนี่แหละ เคยไปสอนที่โรงเรียนจิตรดาในช่วงปิดเทอม เนื่องจากสมเด็จพระเทพฯมีพระดำริว่านักเรียนศึกษาเรื่องวิชาการกันมากแล้ว อยากให้ศึกษาเรื่องเบาๆอย่างการเขียนการ์ตูนบ้าง ถ้าเด็กไม่ชอบวิชาการก็อาจจะหันมาเอาดีทางเขียนการ์ตูนเป็นอาชีพได้ ซึ่งผมก็ดีใจที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมตรงนั้น ถ้าใครจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการ์ตูนที่ไหน เชิญมาเราก็ไป อย่างเดือนกุมภาพันธ์นี้ก็ไปหลายที่ ทั้งสี่ภาคทั่วประเทศ ความจริงงานเขียนการ์ตูนถ้ารู้จักทำให้ดีก็เป็นอาชีพเลี้ยงตัวได้ ส่วนใหญ่ก็ลงไปช่วยครูในต่างจังหวัดที่สนใจติดต่อเข้ามา เรื่องเงินทองค่าวิทยากรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ มีเท่าไหร่ก็เท่านั้น
----------------------------------------------
บทสัมภาษณ์คุณศักดา เอียว (เซียไทยรัฐ)
อุปนายกสมาคมการ์ตูนไทย บ้านการ์ตูนเซีย ภาษีเจริญ กทม.
8 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 41.30 - 16.00 น.

2 ความคิดเห็น:

  1. หัวควย สมุนทักษิณ ทรราชย์ โจรปล้นชาติเผาเมือง เหี้ย ไอ้เซีย

    ตอบลบ
  2. อยากจาสัมพาท คุน เซีย ไทยรัฐ ต้องทำยังไงครับ
    ขอบคุนนะครับ

    ตอบลบ