วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
รายการ Talk around the World 8 กุมภาพันธ์ 2553
โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทาง www.thaksinlive.com
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 20.30-21.30 น.
ถอดความโดย konbangpood
------------------------------------------------
เกริ่นนำ
วันนี้มีเสื้อแดงจากเยอรมันแวะมาเยี่ยมที่บ้านสามคน เป็นคนไทยที่ได้ไปแต่งงานทำมาหากินมีฐานะดี บางคนเป็นเจ้าของโรงงาน เขาซื้อขาหมูและไส้กรอกที่ขึ้นชื่อของเยอรมันมาฝาก ทั้งที่ผ่านมาหลายวันและไม่กรอบ แต่อร่อยมาก เป็นเนื้อหมู่ที่ไม่มีมัน ต้องขอบคุณที่ส่งตัวแทนมาเยี่ยมผม อีกคนเป็นชาวบ้านแม่คำปอง อำเภอสันกำแพง เขาบอกว่าหลังจากที่ผมไปเยี่ยมบ้านแม่คำปองแบบทัวร์นกขมิ้น เห็นว่าเป็นหมู่บ้านมีบรรยากาศน่าอยู่ จึงแนะนำให้เขาได้ทำโฮมสเตย์ ปรากฏว่าวันนี้มีคนไปท่องเที่ยวกันมาก ทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น
เครียดหรือไม่
เขาถามผมว่าไม่เครียดหรือ ถ้าผมมองแคบๆมองเฉพาะปัญหาตัวเอง มันก็น่าจะเครียด เพราะถูกเล่นงานหนักขนาดนี้ แต่ถ้ามองว่าผมเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องคนไทยเป็นล้านๆคน เสียสละเวลาเงินทองและเสี่ยงชีวิตมาช่วยผมอย่างนี้ ผมควรจะมีความสุข ไม่ควรจะเครียด แกนนำบางคนขายที่ดินเพื่อนำเงินมาต่อสู้ เพราะผมเองไม่สามารถจะดูแลใครได้ เชื่อไหมว่าคนที่ไปอยู่เยอรมันเขาไปด้วยเงินกู้ของกองทุนหมู่บ้าน ไปทำงานพักหนึ่งก่อนพบเนื้อคู่ซึ่งเป็นวิศวกรแล้วแต่งงานกัน พอมีฐานะดีก็กลับมาช่วยคนเสื้อแดง เพราะเขานึกถึงว่าที่ไปเยอรมันได้ก็เพราะเงินกองทุนหมู่บ้าน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นครอบครัวของเขาอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด จึงตัดสินใจเดิมทางไปเสี่ยงดวงที่เยอรมัน และประสบความสำเร็จ ทุกครั้งที่มีการชุมนุมใหญ่ก็จะเดินทางบินกลับมา เอาข้าวน้ำอาหารไปช่วยในที่ชุมนุม ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย ยังมีอีกหลายคนที่มาช่วยเหลืออย่างนี้ที่ผมไม่ได้พูดถึง เวลานี้เราจะต้องเป็นกำลังใจให้กันและกัน
จะแก้หรือผูกปมปัญหา
ช่วงนี้ผมได้รับรายงานอยู่เรื่อยๆว่ามีการเสริมกำลังทหารตรงนั้นตรงนี้ ทำให้นึกแปลกใจว่าเรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมไม่คิดแก้ไข แต่มาทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากไปได้ ความจริงไม่เห็นมีอะไรเลย ก็แค่คืนความเป็นธรรมให้สังคม คืนประชาธิปไตยให้เขาไป บ้านเมืองก็จะสงบสุขเดินไปได้ ประชาชนจะได้ไปทำมาหากิน ทหารจะได้ไปทำหน้าที่ของเขา ไม่ต้องมาคอยอารักขานายกด้วยกำลังพลเป็นหมื่น เรื่องสองมาตรฐานก็เหมือนกัน ไปทำให้มันเกิดครั้งแล้วครั้งเล่าทำไม ตอนผมยื่นเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษก็นำเรื่องไปเก็บไว้ที่กรมราชทัณฑ์ แต่พอคดีของสนธิ ลิ้มทองกุล เรื่องอยู่ที่อัยการ กลับให้ยื่นเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษได้ มันเหมือนเป็นการยิ่งผูกปมปัญหาให้ใหญ่ขึ้น แทนที่จะแก้ปมกลับเพิ่มปม ผมไม่เข้าใจจริงๆในวิธีคิดของพวกท่าน เป็นเพราะอำมาตย์เลือกรัฐบาลผิดหรือเปล่า ถึงได้วุ่นวายอย่างนี้ แทนที่จะสร้างความปรองดองกลับขันเกลียวให้แน่นขึ้น ไม่ว่าใครที่เฝ้ามองอยู่เขาก็รับไม่ได้ ความจริงแค่ปล่อยให้ระบบมันเดินไปได้เองโดยไม่เข้าไปแทรกแซง เท่านั้นก็แก้ปัญหาได้ ที่เป็นปัญหาอยู่นี้เพราะมีการเข้าไปแทรกแซงระบบ สิ่งที่คนเสื้อแดงถูกกระทำอยู่ในเวลานี้มันเป็นผลพวงที่มาจากการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ทั้งสิ้น ปัญหาในระบอบประชาธิปไตยก็ควรแก้ไขโดยระบบของมัน ทำไมไปนำเอาการรัฐประหารมาแก้ หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเรื่อยๆต่อไป มันก็เป็นเรื่องของท่าน เป็นปัญหาที่ท่านต้องแก้และสามารถแก้ได้ แต่ทำไมไม่แก้
มีคำถามว่าการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนั้นจะทำอย่างไร และประชาชนจะมีบทบาทอย่างไร ผมก็อธิบายให้ฟัง เรื่องจะยื่นฟ้องศาลโลก(หากถูกยึดทรัพย์)จะทำอย่างไร ผมก็บอกว่าตอนนี้นักกฎหมายหลายท่านที่เดินทางมาพบกำลังเตรียมการอยู่ เพราะมันเคยมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านของเรานี่เอง อย่างที่เคยบอกว่าความเป็นธรรมไม่ว่าจะอยู่ในนรกหรือสวรรค์ก็ต้องตามหาให้เจอ มันเป็นสัญชาตญาณการต่อสู้ของมนุษย์ที่ต้องการความเป็นธรรม ผมจบปริญญาเอกด้านการบริหารกระบวนการยุติธรรม จึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดีจนกลายเป็นอุดมการณ์ที่ฝังลึก เรื่องยอมจึงไม่มี
แนะวิธีขายหุ้นระดมทุน
ผมขอเล่าต่อจากครั้งที่แล้ว เรื่องว่าขณะที่ผมมีหนี้สินแล้วนำหุ้นเข้าตลาดหลักเพื่อให้ได้เงินมาทำธุรกิจนั้น ทำได้อย่างไร เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่มีหุ้นหรือต้องการนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ ขอเริ่มที่คำถามว่าการนำเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์คืออะไร ก็คือการนำเอาอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเราเข้าตลาดหลักทรัพย์ อดีตก็คือเคยทำอะไรมา ปัจจุบันกำลังทำอะไรอยู่ และอนาคตจะทำอะไร แล้วมาตีราคาเป็นตัวเลขว่าทั้งในอดีตปัจจุบันและอนาคตมันควรจะมีราคาเท่าไร จะทำกำไรได้อย่างไร เพื่อที่เมื่อนำเข้าตลาด
หลักทรัพย์แล้วคนเขาจะได้ตัดสินใจซื้อ
อดีตของผมก็คือทำคอมพิวเตอร์ วิทยุติดตามตัว เคเบิลทีวี โทรศัพท์มือถือ ในอนาคตจะทำอะไร ก็คือจะขยายโทรศัพท์มือถือออกไปอย่างไร จะยิงสัญญาณดาวเทียมอย่างไร เสร็จแล้วก็ยื่นเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2533 ขอเล่าอดีตให้ฟังนิดหนึ่งว่า ก่อนที่จะมีโทรศัพท์มือถือ เซลลูล่าโฟนยังไม่เกิด แต่ว่ามีโทรศัพท์ไร้สายใช้ในบ้าน คือถ้ามีวิทยุที่มีกำลังส่งสูงก็สามารถใช้โทรศัพท์นอกบ้านได้ไกล ตอนนั้นผมยังเป็นตำรวจได้เดินทางไปซื้อเครื่องมือพวกนี้ที่ฮ่องกง นำมาทดลองใช้ พอเห็นว่าได้ผลดีก็หิ้วไปพบคุณประพัท โพธสุธน ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2518 ตอนนั้นท่านเป็นเลขาคุณทินกร พันธุ์กวี รมช.กระทรวงการคลัง ผมเป็นนายตำรวจช่วยราชการคุณปรีดา พัฒนถาบุตร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผมบอกคุณประพัทว่าอนาคตข้างหน้าเราสามารถหิ้วโทรศัพท์ไปได้ทั่วโลก เขาว่าผมบ้า เป็นไปได้ยังไง ที่ผมพูดอย่างนั้นเพราะได้ไปเข้าร่วมสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องโทรคมนาคมบ่อยครั้ง มีสัมมนาที่ไหนก็ไป เพื่อเข้าไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพราะผมไม่ได้จบทางด้านวิศวะ
วิกฤตรัฐคือโอกาสคนจน
ต่อมาโทรศัพท์มือถือก็เริ่มมีการนำมาใช้โดยการสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโมโตโลล่า ที่เราเคยเห็นอันใหญ่ๆคล้ายกระดูกที่สุนัขชอบคาบเล่น องค์การโทรศัพท์ก็มียี่ห้ออีริกสัน เป็นรุ่นอะนารอกเหมือนกัน มีน้ำหนักหลายกิโล หิ้วไปไหนต่อไหนได้ สรุปว่ามีสองยี่ห้อแข่งขันกัน ช่วงนั้นเป็นยุคสมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยมีปัญหาทางการเงินและต้องเป็นลูกหนี้ไอเอ็มเอฟรอบแรก ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลขณะนั้น ไอเอ็มเอฟออกคำสั่งห้ามประเทศไทยโดยเฉพาะองค์กรรัฐวิสาหกิจ เป็นหนี้ คือรัฐเป็นหนี้มากแล้ว ถ้าขืนให้กู้เงินอีกหนี้สาธารณะก็จะสูง จึงมีการอนุญาตให้เอกชนเข้ามาขยายการลงทุนแทนภาครัฐ
แต่เนื่องจากกฎหมายขณะนั้นยังล้าหลังจึงใช้ระบบบีทีโอ คือเอกชนมาลงทุนแล้วมอบสิ่งนั้นให้เป็นของรัฐ หลังจากเขาได้ใช้สิทธิ์ดำเนินธุรกิจทำมาหากินแบ่งรายได้ให้รัฐไปถึงช่วงเวลาหนึ่ง ผมจึงไปขออนุญาตทำกิจการโทรศัพท์มือถือ โดยเสนอตัวแข่งขันกับบริษัทหนึ่ง เข้าใจว่าน่าจะเป็นบริษัทอีริกสัน โดยเสนอใช้โนเกียเอ็นเอ็นที 900 ขณะเสนอก็รู้แล้วว่าจีเอสเอ็มกำลังจะเข้ามา จึงเสนอไปด้วยว่าภายใน 5 ปีจะทำจีเอสเอ็มด้วย เป็นการเสนอผลตอบแทนให้รัฐสูงมากในช่วงนั้น แต่เปรียบเทียบกับตอนนี้ถือว่าไม่สูง เพราะเศรษฐกิจ การพัฒนาเทคโนโลยี มันเปลี่ยนไป ทำให้เซลลูล่าเติบโตเร็วเกินกว่าที่คาดคิด ขนาดคิดล่วงหน้าแล้วก็ยังคิดไม่ทัน ตรงนี้เป็นที่มาของการได้สิทธิทำธุรกิจโทรศัพท์มือถือเซลลูล่า
ผมเป็นคนบุกเบิกโทรศัพท์มือถือโนเกียรุ่นแรก แต่เดิมบริษัทนี้ทำกระดาษ โทรทัศน์ ปืนล่าสัตว์ โทรศัพท์เพิ่งมาทำทีหลัง ซึ่งยังไม่แพร่หลายเท่าไร ตอนผมไปดูงานก็เห็นว่าเป็นบริษัทเล็กๆยังขยายตัวไม่ออก ผมจึงเป็นลูกค้ารุ่นแรกๆร่วมกับทางอิตาลี เราได้บุกเบิกร่วมกันจนเติบโต ปริมาณลูกค้าเอ็นเอ็นทีเติบโตขึ้นเท่าๆกับอิตาลี
ที่เล่ามาก็เพื่อจะชี้ว่าต้องศึกษาถึงสิ่งที่เราจะทำ เพื่อให้รู้ว่าวิวัฒนาการมันมาถึงไหนและจะไปอย่างไร เราจะได้วางแผนล่วงหน้าได้ ถ้าลงทุนไปแล้วเทคโนโลยีมันล้าสมัยเร็วก็จะทำให้ขาดทุน การค้าขายเกี่ยวกับเทคโนโลยีจึงต้องระมัดระวัง
หลังจากนั้นรัฐก็ให้เอกชนลงทุนเรื่อยมา ท่านจำได้หรือไม่ ช่วงปี 2534 ที่พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ทำการปฏิวัติ แล้วให้คุณอานันท์ ปัญญารชุน เป็นนายก มีโครงการให้ทำโทรศัพท์บ้านสามล้านเลขหมาย ทีแรกทางซีพีจะทำเองทั้งสามล้านเลขหมาย แต่คุณอานันท์จับแยกเป็นสองล้านกับหนึ่งล้าน สองล้านในกรุงเทพฯให้ซีพีไป อีกหนึ่งล้านให้กลุ่มบริษัทล็อกเล่ย์ของดร.อดิศัย โพธารามิก
ต้องวินกันทุกฝ่าย
ผมเองไม่ได้เข้าประกวดราคาช่วงที่ประมูลสองล้านเลขหมายในกรุงเทพฯ เพราะยังไม่พร้อม พอมีการประกวดราคาหนึ่งล้านเลขหมายในต่างจังหวัดจึงเข้าประกวดด้วย แต่แพ้ เพราะเสนอไป 33 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเสนอไปมากกว่านั้นรับรองเจ๊งแน่นอน บริษัทที่ชนะเสนอไป 40 เปอร์เซนต์ แต่แล้วเมื่อดำเนินการก็มีปัญหาจริงๆเพราะไม่สามารถเสนอผลตอบแทนให้รัฐได้ตามนั้น ก็เลยมีการเจรจาแก้ปัญหากันไป ผมเป็นคนที่ไม่ชอบตกลงอะไรไปแล้วมาปฏิเสธทีหลัง สู้เราปฏิเสธก่อนแล้วค่อยมาตกลงกันทีหลังดีกว่า นั่นคือหลักการของผม ไม่ได้หมายความว่าถ้าเข้าประกวดราคาแล้วเราต้องให้สูงเพื่อจะชนะตลอด เราต้องให้ในราคาที่เราอยู่รอดได้ เท่าที่เราสามารถให้บริการที่ดีแก่ลูกค้าได้ เพราะลูกค้าสำคัญที่สุด คือต้องวินๆไปด้วยกัน นี่คือสิ่งที่ผมได้ยึดเป็นแนวทางมาโดยตลอด
เมื่อเตรียมอดีตปัจจุบันแล้ว ผมต้องมาวาดภาพอนาคตว่าบริษัทจะเติบโตได้อย่างไร ผมมองเรื่องดาวเทียม มองเรื่องการขยายเคเบิลทีวี เรื่องเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนไป แต่ตอนนั้นอินเตอร์เน็ตยังไม่เกิด มองแต่ว่าอนาคตข้างหน้า โทรศัพท์เบอร์เดียวที่เรามีอยู่ สามารถถือไปไหนได้ทั่วโลกและใช้เบอร์นั้นเบอร์เดียวตลอดเวลา นาโนเทคโนโลยีก็ยังไม่เกิด มันยังอยู่ในแลป เราจึงไม่สามารถเดาได้ว่าโทรศัพท์มือถือจะเล็กลงขนาดนั้น เราคาดการณ์ไม่ได้ แต่ก็บอกอนาคตได้ระดับหนึ่ง
ผมจึงมาคิดว่าถ้าลงทุนขนาดนั้นจะไปเอาเงินที่ไหน เซลลูล่าลงทุนกันทีใช้เงินเป็นหมื่นล้าน ทีแรกเราลงทุนไปเพียงไม่กี่ร้อยล้านเพราะไม่กล้าลงมาก ในวันนั้นผมยังไม่มีเงินและยังมีหนี้ จึงมาคิดกันว่าจะทำอย่างไร ต่อมามีคนมาแนะนำให้เอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ มีนักบัญชีคนหนึ่งมาแนะนำให้ทำบัญชีให้ถูกต้องตามหลักสากล และให้บริษัทตรวจสอบบัญชีระดับสากลมาตรวจสอบ เพื่อที่คนทั่วไปจะได้เชื่อถือ และมาดูว่าจะตัดอะไรออกจะเอาอะไรมาเพิ่มเพื่อให้มีธุรกิจที่น่าสนใจ ทำให้มีความชัดเจนว่าเป็นบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี บังเอิญว่าช่วงนั้นเศรษฐีทั้งหลายในประเทศไทยยังตามเรื่องเทคโนโลยีไม่ทัน เราจึงได้เปรียบ ถ้าเศรษฐีตามเทคโนโลยีทัน คนจนอย่างผมเกิดไม่ได้หรอก โดนเขาบี้ตายก่อน
รอดตัวเพราะหัวทักษิณ
มีธนาคารหนึ่ง ช่วงที่ทำคอมพิวเตอร์ ผมเอาแนวคิดไปเสนอขอกู้เงิน ปรากฏว่าเขาไม่ให้กู้ แต่อีกไม่กี่เดือนต่อมา เขาเอาญาติของเขาไปทำอย่างผม ไปติดต่อเสนอไอเดียเหมือนผมทุกอย่าง แต่ไอบีเอ็มเขาเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทผม เพราะผมเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดี เขาค่อนข้างจะสนับสนุนผม จึงโชคดีได้เกิด ไม่งั้นไม่ได้เกิดหรอก เพราะถ้าต้องแข่งกับเศรษฐีผมไม่มีทางสู้เขาได้ ระบบทุนนิยมนั้นเขาใช้ทุนทุบกันเลย แต่ในการลงทุนทำธุรกิจที่ต้องใช้สมอง มีทุนอย่างเดียวมันยังไม่พอ เพราะอย่างนี้ผมจึงรอดตัวมาได้ เหมือนกับตอนที่ทำโทรศัพท์มือถือ บรรดาเศรษฐีก็ยังไม่เข้าใจเท่าไร แต่พอผมได้ลายเส้นแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ก็เลยตัดสินใจเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ หลังให้นักบัญชีตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ผมจ้างที่ปรึกษาการเงินมาช่วยดูแลด้วย ตอนนั้นผมจ้างภัทระกับธนชาติมาช่วย เขามาช่วยดูแลตกแต่งหน้าตาให้ดูดีเป็นที่พอใจ ก่อนนำเข้าจดทะเบียน
รวยร้อยล้านครั้งแรก
ตอนนั้นผมมีทุนจดทะเบียนเพียง 20 ล้านบาท แต่ความจริงก็ไม่มีจ่ายเข้าไปเลย มีเพียงค่าธรรมเนียม 5 หมื่นบาท ก็ทำบัญชีว่ากรรมการกู้ยืมไป ติดหนี้ไว้ตลอด (ลืมไปว่าตอนทำเซลลูล่าผมแปะโนเกียไว้ก่อน บอกเขาไปว่าจ่ายได้ส่วนหนึ่งก่อน ที่เหลือจะเก็บรายได้ส่งทีหลัง เพราะความที่อยากบุกตลาดก็เลยยอม) ก่อนนำเข้าตลาดที่ปรึกษาบอกว่าต้องเพิ่มทุน เพราะทุนแค่นี้มันไม่พอ เขาบอกว่าต้องเพิ่มทุนสองพันล้าน ผมก็หนักใจว่าจะไปหาทุนที่ไหนมา แต่เขามั่นใจว่าเป็นหุ้นที่ขายได้แน่ จึงแนะนำให้ผมไปกู้เงินเพื่อนำมาจ่ายเพิ่มทุน แล้วใบหุ้นที่เพิ่มทุนนั้นก็ให้เขาถือไว้ เมื่อเอาหุ้นเข้าตลาดได้ก็ขายหุ้นบางส่วนออกเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ ราคาหุ้นละ 10 บาท ปรากฏว่าขายได้กำไรหลายเท่า ทำให้ได้เพิ่มทุนใส่กลับเข้าไปในบริษัท ระบบทุนนิยมมันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรามีของดี ใครเขาก็อยากให้กู้ ผมจึงได้ไปกู้เงินที่บริษัทในเครือธนาคารกรุงเทพฯของดร.ชัยยุทธ์ เพื่อนำไปเพิ่มทุน มีเงินเข้ามาจ่ายหนี้ขยายการลงทุนได้ และเมื่อราคาหุ้นขึ้นเราก็แบ่งเอาไปขายได้เงินมาใช้หนี้ ตอนนั้นเหลือเงินประมาณ 100-200 ล้านบาทจากที่ไม่มีเงิน ผมก็นึกดีใจ ความจริงไม่ใช่ มันเป็นการขยายธุรกิจ เมื่อลูกค้าเพิ่มก็ต้องเพิ่มการลงทุน เงินไม่พอก็ต้องเพิ่มทุน เราต้องไปตามเพิ่มทุนเพื่อไม่ให้สัดส่วนมันหาย ก็ทำให้เงินหมดไปอีก จากที่เคยมี 100 ล้านแรกในปี 2533 แต่พอปลายปีเงินก็หมดอีกแล้ว เพราะต้องไปเพิ่มทุน
รวยพันล้านได้อย่างไร
ในปี 2534 มีนักลงทุนต่างประเทศคนหนึ่งซึ่งไปลงทุนทำธุรกิจในหลายประเทศ พาผมไปรู้จักเศรษฐีที่มีเงินอันดับสองของโลกชื่อคาร์ลอส ซาลิม ที่นิวยอร์ค ก่อนที่ผมจะมาเป็นรมว.กระทรวงการต่างประเทศ นายคนนี้มาซื้อหุ้นบริษัทผมไป 5 เปอร์เซ็นต์ เข้าใจว่าตอนนั้นผมขายได้ประมาณ 5 พันล้าน เป็นการคุยกันทางโทรศัพท์ขณะที่ผมกำลังไปแคะหู ผมบอกขอแคะหูก่อนเดี๋ยวค่อยคุย เขาขอซื้อ 10 เปอร์เซ็นต์ผมไม่ขาย ผมขายแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้เขาสนใจตามซื้อหุ้นเราในตลาดอีก ถ้าขายให้มาก เขาก็เอาไปเก็บไว้แล้วไม่สนใจมาไล่ซื้ออีก หุ้นเราก็จะราคาไม่ดี ปี 2534 จึงเป็นปีที่ผมมีเงินหลายพันล้านเป็นครั้งแรก แต่หุ้นในครอบครัวที่เคยมี 80 เปอร์เซ็นต์ก็ลดลงเรื่อยๆ เป็น 60 เป็น 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่ได้ขายเสียจนเหลือหุ้นลดน้อยกระทั่งตัวเราเองไม่สามารถควบคุมการบริหารบริษัทได้ เราต้องเก็บหุ้นไว้ให้เกินครึ่งหนึ่ง เพื่อไม่ให้ใครมายึดบริษัทไป
ในปี 2535 - 2536 มีการขายหุ้นเพิ่ม ได้เงินสดมาเป็นหมื่นล้าน ปี 2537 จึงได้เข้ามาสู่การเมือง เงินที่ครอบครัวผมได้มาเป็นเงินที่ได้จากการขายหุ้นให้ต่างประเทศทั้งนั้น ช่วงนั้นฝรั่งมาลงทุนในบ้านเรามาก การขายหุ้นแต่ละครั้งก็ขายให้กองทุนต่างประเทศทั้งนั้น แม้กระทั่งครั้งล่าสุดที่ขายหุ้นให้เทมาเสกก็เป็นเงินที่ต่างประเทศนำเข้ามาให้ ไม่ได้เป็นการนำเอาเงินไทยมาเลย ผมเล่าให้ฟังเพื่อจะบอกว่ากว่าจะมาเป็นวันนี้ได้ มันต้องชิงไหวชิงพริบและต้องทำให้ต่างประเทศเขาเชื่อถือ จึงสามารถดึงเงินต่างประเทศมาได้ อาจเป็นเพราะว่าผมมีดวงเรื่องทำมาหากินเกี่ยวกับต่างประเทศ นี่เท่าที่ฟังจากหมอดูว่า
ขอเล่าถึงช่วงเดือนเมษายน 2535 ตอนนั้นเราต้องการเพิ่มทุนให้บริษัทและต้องการให้เป็นที่รู้จักกว้างขึ้น จึงได้เดินทางไปโฆษณาตัวเองกับนักลงทุนทั่วโลก โดยมีบริษัทเมอรีรินซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินต่างประเทศเป็นผู้สนับสนุนพาไปบอสตัน นิวยอร์ค แล้วกลับมาที่ลอนดอน คุณหญิงพจมานก็เดินทางไปด้วย พร้อมลูกๆที่ยังเด็กๆกันอยู่เลย คือหลังจากเดินทางไปหลายที่แล้วก็จะมาตกลงที่ลอนดอนว่าจะขายกันในราคาเท่าไร จำนวนกี่หุ้น ทางบริษัทเมอรีรินก็ลังเลมาก เพราะช่วงปี 2535 เป็นช่วงใกล้เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เขาบอกว่าหุ้นที่ตั้งใจจะขายนี้ขอรับประกันครึ่งเดียวได้ไหม ผมบอกว่าถ้าครึ่งเดียวมันเสียชื่อ เหมือนกับว่ามันไม่น่าเชื่อถือ เอาอย่างนี้ดีกว่า จะขายหรือไม่ขายก็ไม่เป็นไร ตกลงกันให้ชัด คืนนี้คุณไปตัดสินใจแล้วกัน พรุ่งนี้ผมจะได้เดินทาง ต่อมาเขาก็บอกว่ารู้สึกวิตกกับการเมืองในประเทศไทย ผมก็บอกว่าอย่าไปวิตกเลย การเมืองของไทยนั้นเปลี่ยนบ่อยเหมือนฤดูกาล อย่าไปสนใจเรื่องการเมืองนัก เพราะมันเป็นเรื่องวูบวาบชั่วประเดี๋ยวก็หาย เขาก็ยังบอกว่าขอซื้อครึ่งเดียว ผมจึงปฏิเสธไม่ขาย บอกว่าจะพาลูกเมียไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ วันนั้นถ้าขายก็จะได้เงิน 3 พันล้าน
ร่วงก่อนรุ่งและเรื่องเศร้า
พอกลับมาถึงเมืองไทยได้ไม่กี่วัน เกิดเหตุพฤษภาทมิฬ หุ้นร่วงพรวด เมอรีรินคงดีใจว่าคิดถูกแล้วที่ไม่ได้ซื้อ แต่ผมรู้สึกเฉยๆ พอหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬจบ คุณอานันท์กลับมาเป็นนายกอีกรอบหนึ่ง หุ้นวิ่งขึ้นใหม่อีกครั้ง ถ้าขายก็จะได้ 5 พันล้าน เพราะยึดหลักว่าถ้าเขาซื้อไปครึ่งเดียวเราเสียชื่อ จึงไม่ขาย แทนที่จะได้เงิน 3 พันล้าน กลับได้ 5 พันล้าน ผมเล่าให้ฟังเพื่อบอกว่าท่านต้องยึดหลักและมีความรอบรู้ เรื่องการเมืองตอนนั้นมันวิกฤตชั่วคราว ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ที่เล่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย และไม่มีวันจบ คนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยหนีหายหมดแล้ว นานๆอาจจะโฉบมาตีหัวเข้าบ้านบ้างเท่านั้น เพราะวันนี้เราเองกำลังไม่เข้าใจโลกอย่างแรง ตัวเราอยู่ในศตวรรษที่ 21 แต่ความคิดของเรายังเป็นแบบศตวรรษที่ 20 มีความคิดแคบ ไม่เข้าใจว่าโลกเดินไปถึงไหน ไม่เข้าใจการแข่งขัน ขณะที่ผมนั่งอยู่ที่ดูไบผมจะดูว่าจีนมีความเคลื่อนไหวอะไร อินเดีย อเมริกา ยุโรปเคลื่อนไหวอะไร และจะเป็นอย่างไร เขามียุทธศาสตร์ของเขา แต่พอหันกลับมามองอาเซียน ทั้งอาเซียนไม่มีอะไรเลย ไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจอาเซียน แต่ลากอาเซียนให้จมลงไปเพราะมัวแต่ขัดแย้งในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ไม่ยอมให้กลไกที่สร้างมาเป็นสิบๆปีได้จัดการปัญหาด้วยตัวของมันเอง เท่านั้นไม่พอ ยังไปบิดเบือนกลไก ไปใช้กลุ่มแก๊งบุคคลเข้าแสวงหาผลประโยชน์ของประเทศ จนป่านนี้ยังไม่คิดแก้ปัญหา นี่คือสิ่งที่น่า
เศร้าที่สุดของประเทศไทย
มาที่ดูไบบ้าง เขาเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ จึงเอาความเป็นศูนย์กลางสร้างเงิน ด้วยการสร้างสนามบินเป็นศูนย์กลางการบิน สร้างท่าเรือเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางเรือ แล้วสร้างเศรษฐกิจล้อมรอบ ไทยเรามีภูมิศาสตร์ที่ควรจะเป็นศูนย์กลางการบิน แต่ถูกประเทศเล็กๆอย่างสิงคโปร์ฉกฉวยเอาไป เพราะไม่มียุทธศาสตร์เพื่อชาติ มีแต่ยุทธศาสตร์ฟาดฟันกันเอง เราถนัดแต่เรื่องแบบนี้ มีแต่ยุทธศาสตร์ที่จะให้คนฉกฉวยตรงนั้นทีตรงนี้ทีทำมาหากินไป นี่คือสิ่งที่เราไม่แก้และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
จะเพิ่มมูลค่าหุ้นกันอย่างไร
หันมาพูดถึงเรื่องหุ้นว่าทำอย่างไรถึงจะให้หุ้นตนเองดี การซื้อขายหุ้นมีคนไทยเพียงส่วนน้อยที่จะลงทุนในตลาดหุ้น แต่สถาบันต่างๆหรือต่างชาติมักจะลงทุนซื้อหุ้นเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นท่านจะต้องสร้างความสัมพันธ์กับนักลงทุน จะต้องเดินทางไปโฆษณาตนเองบ่อยๆทั้งในและต่างประเทศ จะต้องยินดีต้อนรับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาพูดคุยเรื่องบริษัทของท่าน ตอนผมนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ใหม่ๆ ต้องนั่งพูดเรื่องบริษัทวันละสองสามรอบ ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเปิดเทป และก็รู้ได้เลยว่าเขาจะถามอะไรเราบ้าง เราต้องอดทนอย่างมาก บางคนเข้ามาหลายรอบ เราก็พูดแล้วพูดอีก ไม่ว่าจะเป็นใครระดับไหน เราต้องต้อนรับหมด เมื่อเราพูดบ่อยเข้าบริษัทก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้คนสนใจมาซื้อหุ้น และให้จำไว้ว่าถ้ามันอยากได้สิบให้มันแค่ห้า ถ้าอยากได้เพิ่มให้ไปไล่ซื้อในตลาดเอาเอง เท่ากับว่ามีคนคอยรักษาระดับราคาหุ้นของเราตลอด ราคาหุ้นก็จะดีตลอดเวลา แต่ต้องคุยให้เขารู้ว่าหุ้นของเรามีอนาคต อย่าไปพูดว่าอนาคตผมไม่รู้จะไปทางไหน ต้องทำให้เขามองเห็นอนาคต
อย่าใช้เงินผิดประเภท
ผมจะเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง คืออย่าใช้เงินผิดประเภท มันเป็นเรื่องน่ากลัวมาก ทำไมผมถึงไม่ใช้เงินผิดประเภท เพราะผมถูกสอนมา ตอนยังไม่นำหุ้นเข้าตลาด ผมหมุนเงินได้ก็ดีใจนำเงินไปซื้อที่ดิน พอเศรษฐกิจตกอยากขายที่ ปรากฏว่าไม่มีใครซื้อเลย มีแต่คนอยากขายกันทั้งประเทศ เงินที่มีก็จมอยู่ ธุรกิจมีปัญหาอยากเอาเงินไปใส่ก็ทำไม่ได้ เลยทำให้ธุรกิจมีปัญหาไปด้วย จะเอาไปเข้าธนาคาร เขาก็ไม่ยอมรับ เพื่อนผมคนหนึ่งเขามาเตือนว่าอย่าทำ อย่าใช้เงินมั่ว คนเอเซียชอบทำแบบนี้ ตั้งแต่นั้นมาผมจำเป็นคาถาเลย แม้ว่าตอนหลังจะเริ่มมีเงินผมก็ไม่ซื้ออสังหาริมทรัพย์อีกเลย เพราะเราทำธุรกิจโทรคมนาคม อย่าเอาเงินบริษัทไปทำอสังหาริมทรัพย์ ถ้าจะทำให้เอาเงินส่วนตัวหรือครอบครัวไปลงแทน
ผมเคยพูดถึงเรื่องตึกที่โรงหนังราชวัตรรามา ตอนหลังกลายมาเป็นคอนโดมิเนียม และเป็นที่ทำงานของบริษัท ชินคอร์ป ช่วงเริ่มก่อตั้งใหม่ๆ ก่อนจะมาอยู่ตึกชินทาวน์เวอร์ถนนพหลโยธิน โครงการนี้ก็เกิดขึ้นแบบตกกระไดพลอยโจน อาจารย์ประยูร จินดาประดิษฐ์ ผู้จัดการธนาคารทหารไทยตอนนั้น นับเป็นผู้มีพระคุณของผม ท่านไปสร้างตึกที่ปากซอยสายลมซึ่งเป็นที่ตั้งชินทาวน์เวอร์ปัจจุบัน สร้างไปได้เจ็ดชั้นแล้วไม่มีเงินทำต่อก็มาขายให้ผม ผมซื้อมาปรับปรุงแก้แบบจากคอนโดมาทำเป็นสำนักงาน 30 ชั้น เป็นการนำเอาเงินของครอบครัว 700 กว่าล้านมาลงทุน ไม่ได้ใช้เงินบริษัทเลย และให้ครอบครัวเป็นเจ้าของ แต่ให้บริษัทเช่า เพื่อแยกแยะให้ชัดเจนว่าบริษัทนี้จะไม่ลงทุนเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ทำให้นักลงทุนเขาไม่ต้องสับสน และราคาเช่าก็เป็นราคาตลาด จะมากำหนดราคาถูกหรือแพงเกินไปก็ไม่ได้ ต้องกำหนดให้อยู่ในราคาตลาด แต่อาจลดราคาให้ถูกกว่าตลาดเล็กน้อยเพื่อให้รู้สึกว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไม่ได้เอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย ต้องแสดงความจริงใจว่าเราไม่เอาเปรียบ จึงได้สร้างตึกชินทาวน์เวอร์ 1 ขึ้นมา แต่พอมาสร้างตึกชินทาวน์เวอร์ 2 จะขายก็ไม่ได้ขาย เพราะเจ้าของคือพี่ชายรมต.กระทรวงยุติธรรมคนปัจจุบัน เขามาบอกขายให้ผมหลายรอบ ราคา 560 กว่าล้าน เลยตกลงซื้อตึกนี้ไว้ เป็นการลงทุนของครอบครัวครั้งที่สอง ตอนหลังเมื่อเห็นว่าตึกไม่พอใช้ก็มาสร้างตึกชินทาวน์เวอร์ 3 อันนี้ก็เกิดจากการช่วยซื้อที่ของคุณประพัท โพธสุธน ซึ่งมีปัญหากับทางธนาคาร เขามาบอกขายก็เลยซื้อไว้ จึงได้สร้างตึกชินทาวน์เวอร์ 3 เป็นเรื่องที่ครอบครัวลงทุนเองทั้งหมด จากนั้นก็ปล่อยให้คนมาเช่า เป็นบริษัทในเครือก็มี ก่อนจะมาเป็นเอสซีแอสเซส แล้วนำมาเข้าตลาดหลักทรัพย์
มันเป็นเรื่องของการค่อยๆสร้างทีละส่วนขึ้นมา ที่ต้องแยกแยะให้ออก อย่านำไปเกี่ยวพันอย่ามั่ว ช่วงที่ชินคอร์ป แข็งแรงก็นำเข้าตลาดไป ต่อมาผมก็นำเอไอเอสเข้าตลาดเช่นกัน ไอบีซีโตขึ้นก็นำเข้าตลาด ชินแซทโตขึ้นก็นำเข้าตลาด ทุกตัวเราแยกนำเข้าตลาดหลักทรัพย์หมด เพราะทันทีที่เราต้องการเงินลงทุนจำนวนมาก จะได้ไม่ต้องควักเงินส่วนตัวลงมากเกินไป ถ้าเราไม่ควัก เปอร์เซ็นต์ของหุ้นก็จะลดน้อยลงไป แต่ถ้าเราเติมลงไป เงินสดที่มีอยู่ก็จะหมด ผมจึงต้องเอาบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตไปเข้าตลาด เวลาเพิ่มทุนเราอาจเพิ่มทุนแบบไอพีโอ คือขายให้คนทั่วไป เพื่อให้ได้เงินเข้าบริษัทแล้วนำเอาเงินนั้นไปลงทุน หุ้นในบริษัทก็จะโตขึ้น ท่านทั้งหลาย เราต้องรู้เท่าทันระบบทุนนิยม วันนี้แม้เราจะเกลียดมันไม่ชอบมันก็ไม่ได้ เพราะเราต้องอยู่กับมัน โลกทุกวันนี้เป็นระบบทุนนิยม ไม่จำเป็นว่าเราต้องชอบหรือไม่ชอบ แต่วันนี้มันเป็นการแข่งขันด้วยทุนที่เรียกทุนนิยม คือต้องมีทุน ถ้าไม่มีทุนเขาไม่นิยม เป็นลัทธินิยมทุน นั่นก็คือถ้าทุนไม่มีก็ต้องไปวิ่งหาจนมี ทำอย่างไรจะเสกกระดาษให้เป็นเงินก็ต้องทำให้ได้
ถึงเวลากำจัดจุดอ่อนหรือยัง
วันนี้ถ้าเราทำนาส่งข้าวออกได้ที่หนึ่งของโลก เรามีสิทธิ์จะภูมิใจ แต่ถ้ามองอีกแง่เราอาจต้องถามว่าทำไมเราต้องให้คนจนทำนาไปตลอดชีวิต ลดจำนวนชาวนาลงบ้างได้ไหม ให้เหลือชาวนาน้อยหน่อย แต่เป็นชาวนาที่มีเครื่องจักรกล ลูกหลานชาวนาไปเป็นวิศวกรบ้างได้ไหม เป็นหมอเป็นทนายความเป็นเถ้าแก่บ้างได้ไหม ทำไมต้องบอกว่าปู่เอ็งเป็นชาวนา พ่อ ลูก หลานก็ต้องเป็นชาวนา เรามีทางเลือกอื่นไหม มันมีทางเลือกอื่นอย่างที่ผมเล่าให้ฟัง อย่างที่ดูไบเขาเอาคนต่างชาติมาเป็นลูกน้องคนในท้องถิ่น แต่เราเอาต่างชาติมาเป็นนาย แล้วเรามาเป็นลูกน้องเขา อุตส่าห์ส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ แต่พอกลับมากลับส่งไปเป็นลูกจ้างฝรั่งแล้วมานั่งภูมิใจได้ทำงานดี ทำไมไม่ส่งเสริมให้เป็นเถ้าแก่ ที่ดูไบคนของเขาเป็นเถ้าแก่ จ้างซีอีโอต่างชาติเก่งๆมานั่งบริหาร เพราะระบบการเงินของเขามันเอื้อให้คนท้องถิ่นมีทุนสร้างธุรกิจ แต่ธนาคารของเรามักทำอะไรแบบฮั้วกันสมยอมกันและเป็นนายของคนไทย แทนที่จะคอยสนับสนุนให้คนไทยแข็งแรง นี่คือจุดอ่อนที่แสดงว่าเรากำลังมองโลกในศตวรรษที่ 21 ไม่ทัน ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ คนที่มีอำนาจแฝงสั่งการทำให้ระบบเพี้ยนได้ ยังมีความคิดอยู่ในศตวรรษที่ 20 มันถึงได้ยุ่งมาถึงทุกวันนี้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น