วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โฆษก ปชป.เผยเครือข่ายทักษิณปูพรมสร้างสถานการณ์หวังให้เกิดความุรนแรง


นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวว่า คณะทำงานปฏิบัติการเพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมืองของพรรคฯ(วอร์รูม) พบว่าเครือข่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมเคลื่อนไหวชักนำสังคมไปสู่การเผชิญหน้าและการใช้ความรุนแรง เพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม และการปกครอง

ทั้งนี้จะแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก คือ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง พุ่งเป้าปลุกระดมมวลชนด้วยข้อมูลเท็จเรื่องการทำรัฐประหารเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาอย่างกว้างในมวลชน โดยจะทำการปิดล้อมและกดดันหน่วยทหารทั่วประเทศเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจผิดและหวังผลในปฏิบัติการตอบโต้

ส่วนที่สอง คือ พรรคเพื่อไทย(พท.) จะเคลื่อนไหวไปกดดันคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อสร้างฐานความเชื่อที่ผิดว่า กกต.เป็นเครื่องมือสำคัญในการที่จะปฏิบัติสองมาตรฐานกรณีพิจารณาคดีเงิน 258 ล้านบาทของพรรค ปชป.

และส่วนที่สาม คือ อดีตแนวร่วมพรรคคอมมิวนิตส์แห่งประเทศไทยที่เป็นเครือข่ายร่วมกันระหว่างพรรคคอมมิวส์นิตโลกหลายแห่ง โดยมีการพูดคุยถึงการเตรียมแนวรบ การเตรียมผ้าขี้ริ้วกับน้ำมัน การเตรียมอาวุธ เพื่อสร้างเงื่อนไขความเปลี่ยนแปลงในลักษณะเร่งเร้า กระตุ้น สร้างสถานการณ์ที่นำไปสู่การเผชิญหน้ากัน ซึ่งใช้มวลชนในภาคอีสานเป็นหลัก โดยแบ่งหน้าที่รับผิดชอบเป็น นปช.ขอนแก่น รับผิดชอบกระทรวงมหาดไทย นปช.อุดรธานีรับผิดชอบกระทรวงกลาโหม นปช.กาฬสินธุ์-หนองคายรับผิดชอบกระทรวงต่างประเทศ

โฆษกพรรค ปชป.กล่าวว่า ขณะเดียวกันก็มีเป้าหมายเพิ่มเติม ได้แก่ คตส. และ กกต. โดยการนำรายชื่อครอบครัวและรูปภาพแจกจ่ายให้กับมวลชนคนเสื้อแดงคอยติดตามกดดัน มีการปลุกระดมมวลชนให้รู้สึกว่ามีความไม่เป็นธรรมในสังคม และขับเคลื่อนไปสู่การปลดแอกปฏิวัติประชาชน

คัดลอกมาจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 16:45:58 น.

บทวิเคราะห์
ปัจจุบันแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)แดงทั้งแผ่นดิน เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และเชื่อว่า ณ วันนี้คงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามีจำนวนมากน้อยเท่าใด จะว่าเป็นเพราะการปลุกระดมมวลชนของบรรดาแกนนำ ผู้เขียนมองว่านั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง

แต่หากลองมองลงไปให้ลึก จะรู้ว่าข้อมูลความจริงที่คนเหล่านั้นนำมาเปิดเผยต่างหากที่ทำให้ประชาชนสนใจ ผู้บริโภคข้อมูลข่าวสารนำไปเปรียบเทียบกับสื่อของรัฐ ซึ่งปัจจุบันเรดติ้งน่าจะลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ เหตุเพราะเสนอข้อมูลไม่รอบด้านออกจะเป็นการนำเสนอข่าวสารเพียงด้านเดียว

ส่วนที่ 2 พรรคเพื่อไทย ผู้เขียนมองว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านที่ต้องตรวจสอบทุจริตฝ่ายรัฐบาล และไม่ใช่แต่เฉพาะคดีเงินบริจาค 258 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์ที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีกจนประชาชนเริ่มจับตามองด้วยความสงสัย เมื่อมีคนจุดประเด็นให้ลองเปรียบเทียบกับคดีอื่นๆ ในอดีต โดยเฉพาะคดียุบพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน คดีตะหลิวกับกระทะของอดีตนายกสมัคร และคดีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นหลัง 19 กันยา 2549

โปรดอย่าลืมว่าประชาชนมีความรู้สึกนึกคิด มีวิจารณญาณในการรับรู้รับฟังข้อมูลข่าวสาร ใช่ว่าใครเป่าหูแล้วจะเชื่อไปซะทุกเรื่อง แต่ที่คนเสื้อแดงเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเพราะข้อมูลข่าวสาร ประกอบกับหลักฐานและการกระทำของผู้มีอำนาจต่างหากที่ทำให้บรรดาคนเหล่านั้น "เสื่อม" ชนิดที่เรียกว่าทั้งภาครัฐและนักวิชาการรวมทั้งเอกชนบางกลุ่มร่วมด้วยช่วยกันฉุดกระชากรากถูแบบข้างๆ คูๆ ก็ฉุดรั้งไว้ไม่อยู่

ส่วนที่ 3 อดีตแนวร่วมพรรคคอมมิวนิตส์แห่งประเทศไทยที่เป็นเครือข่ายร่วมกันระหว่างพรรคคอมมิวส์นิต รัฐบาลมองว่าคนเหล่านั้นกำลังเตรียมแนวรบ เตรียมผ้าขี้ริ้วกับน้ำมัน เตรียมอาวุธ เพื่อสร้างเงื่อนไขความเปลี่ยนแปลงในลักษณะเร่งเร้า กระตุ้น สร้างสถานการณ์ที่นำไปสู่การเผชิญหน้ากัน โยใช้มวลชนในภาคอีสานเป็นหลัก

การที่รัฐบาลคิดเช่นนี้ ผู้เขียนคิดว่าเป็นการมองในแง่ร้าย เนื่องจากบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงประกาศชัดเจนแล้วว่าเตรียมความพร้อมเพื่อต่อต้านรัฐประหาร หากผู้มีอำนาจหรือมีอาวุธอยู่ในมือ ไม่คิดทำการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งถือเป็นการเผาบ้านเผาเมืองตัวเอง เนื่องจากส่งผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชนในระยะยาว ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การลงทุน ท่องเที่ยว ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศชาติเสียหาย ซึ่งเรื่องนี้คนในชาติแม้แต่เด็กนักเรียนชั้นประถมก็พอจะรู้ จึงไม่แปลกที่จะมีผู้คิดต่อต้านการทำปฏิวัติรัฐประหาร

การออกมาวิพากษ์วิจารณ์ของโฆษกรัฐบาล จึงเป็นการคิดในแง่ร้ายเกินเหตุ และที่สำคัญมองข้ามความรู้สึกนึกคิดของประชาชน หรือที่พูดกันตามประสาชาวบ้านว่า "ท่านกำลังดูถูกประชาชน" อาจรวมไปถึงทหารในกรมกองเข้าไปด้วย ว่าเป็นกลุ่มคนที่สามารถปลุกปั่นชักจูงได้ง่าย

ท่านโฆษกรัฐบาลอาจมองข้ามความจริงที่ว่า "มนุษย์" มีความรู้สึกนึกคิดที่จะรู้ผิดรู้ชอบ เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดว่าสิ่งที่คนบางกลุ่มทำนั้น "ผิด" ก่อให้เกิดกระบวนการ 2 มาตรฐาน ซึ่งประโยคนี้ผูเขียนได้ยินประชาชนพูดกันหนาหู ความไม่เห็นด้วยก็จะบังเกิด และบางคนหรือบางกลุ่มอาจแสดงออกด้วยการลุกขึ้นมาต่อต้าน ทวงถาม ก็สุดแท้แต่สถานการณ์ว่ากลุ่มคนเหล่านั้นจะเลือกแสดงออกด้วยวิธีใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น