วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กต. ทบทวนความสัมพันธ์เขมร เรียกทูตกลับไทย



กระทรวงการต่างประเทศแถลงทบทวนความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เรียกทูตกลับ พร้อมทบทวนความร่วมมือทั้งหมด หลังตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษา

กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ ท่าทีของรัฐบาลไทยต่อกรณีรัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษา ดังนี้

ตามที่รัฐบาลกัมพูชาได้แต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา และที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และยืนยันที่จะไม่ส่งตัว พ.ต.ท. ทักษิณฯ ให้กับไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน หากได้รับการร้องขอนั้น กระทรวงการต่างประเทศขอแถลง ดังนี้

1. รัฐบาลได้ชี้แจงกับรัฐบาลกัมพูชาไปแล้วในโอกาสต่างๆ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ต้องอยู่เหนือความสัมพันธ์ส่วนบุคคล

2. การดำเนินการใด ๆ ของฝ่ายกัมพูชาเกี่ยวกับ พ.ต.ท. ทักษิณฯ ไม่สามารถแยกแยะออกจากความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศได้ และกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยทั้งชาติ เนื่องจาก พ.ต.ท. ทักษิณฯ เป็นผู้หลบหนีคดีอาญา และยังคงมีบทบาททางการเมืองในประเทศอยู่

3. การแต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณฯ เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาและที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทย และเป็นการปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมของไทย รวมทั้งทำให้ความสัมพันธ์และผลประโยชน์ส่วนบุคคลอยู่เหนือความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ

4. รัฐบาลไทยจึงนิ่งเฉยไม่ได้ และมีความจำเป็นจะต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั้งประเทศ การดำเนินมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลไทย ก็เพื่อจะให้ฝ่ายกัมพูชารับรู้ถึงความไม่พึงพอใจของประชาชนไทยทั้งปวง

5. จากการดำเนินการของรัฐบาลกัมพูชา ทำให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องทบทวนสถานะความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และดำเนินการ ดังนี้

5.1 เรียกเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กลับ

5.2 ทบทวนพันธกรณีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับฝ่ายกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา

5.3 ทบทวนความร่วมมือต่างๆที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการกับกัมพูชา ซึ่งการทบทวนนี้ รัฐบาลไทยจะกระทำด้วยความจำใจ เนื่องจากรัฐบาลไทยประสงค์มาโดยตลอดที่จะให้ความร่วมมือกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อพัฒนาการอยู่ดีกินดีของชาวกัมพูชา เพื่อลดช่องว่างของประชาชน และลดช่องว่างระหว่างกัมพูชากับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ
ข่าวจากกรุงเทพธุรกิจ/bangkokbiznews.com

บทวิเคราะห์

จากข่าวจะเห็นได้ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ พยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาบานปลาย โดยการนำเรื่องการแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร มาเป็นประเด็น

ทั้งที่ความจริงกรณีนี้ถือเป็นเรื่องส่วนตัว หากมาทบทวนกันแล้ว กรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ถือเป็นการไม่ไว้หน้ากัมพูชาอย่างแรงเช่นกัน เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่านายกษิต ภิรมย์ ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ด่าว่าสมเด็จฮุนเซนอย่างสาดเสียเทเสีย แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังดันทุรังแต่งตั้งทั้งที่กระทบกระเทือนความรู้สึกคนไทยทั้งประเทศอย่างรุนแรง

เพราะในสายตาคนไทยและชาวต่างชาติ นายกษิต ภิรมย์และพวก คือ "ผู้ก่อการร้าย" ที่บุกยึดสถานที่ราชการและสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้ประเทศชาติเสียหายนับแสนล้าน แต่กลับลอยนวลอยู่เหนือกฏหมาย และมีบางคนได้รับการปูนบำเหน็จจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อีกด้วย

หากจะว่าไปแล้ว การกระทำหลายอย่างของรัฐบาลเองต่างหากที่ทำให้คนไทยจำนวนหนึ่งและต่างประเทศหมดความเชื่อถือ เช่น กรณีคดีพันธมิตรฯ นับร้อยคดีไม่คืบหน้าซึ่งผิดกับคดีคนเสื้อแดง คดีเพชรซาอุ และอีกสารพัดคดีที่มีการทุจริตคอรัปชั่นในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งคนไทยจำนวนไม่น้อยเคลือบแคลงสงสัย

และเรื่องนี้ทั้งสื่อไทยและสื่อต่างประเทศพากันออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แต่รัฐบาลยังคงนิ่งเฉย และมีความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นมุ่งไปที่ข่าวการทำลายล้าง อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เพื่อกลบกลื่อนคดีอื่นๆ โดยเฉพาะคดีราเกช ซึ่งส่งผลกระทบกระเทือนต่อเสถียรภาพรัฐบาลผสมของพรรคประชาธิปัตย์อย่างรุนแรง

อย่าลืมว่าขณะนี้ข่าวสารสามารถไปได้อย่างทั่วถึง เรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จึงไม่มีอะไรเป็นความลับ หากรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำเอาความอิจฉา ริษยา ต้องการรักษาอำนาจ พยายามรักษาความชอบธรรมโดยการกลบเกลื่อนข่าวทุจริตคอรัปชั่นและหาทางปกป้องพวกพ้องของตน จนกระทบกระเทือนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คนไทยและต่างชาติจะคิดเช่นไร?

ใช่ว่าไทยจะเป็นประเทศใหญ่ จนประเทศเพื่อนบ้านต้องพึ่งพาอาศัยและเกรงกลัว หากแต่ไทยเองก็ต้องพึ่งพาประเทศเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน และหากประเทศเหล่านั้นร่วมกันต่อต้านรัฐบาลไทย เหมือนที่คนไทยจำนวนหนึ่งพยายามทำ เพราะมองว่าท่านมีที่มาไม่ชอบธรรม ไม่สง่างาม และหากมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ไม่มีทางที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลของพวกเขาอีกครั้ง

ซึ่งแน่นอนการเลือกตั้งครั้งใหม่ กำลังคืบคลานเข้ามา เหตุจากปัจจัยหลายประการซึ่งเรื่องนี้ทั้งคนไทยและต่างชาติหากติดตามข้อมูลข่าวสารก็คงรู้ๆ กันอยู่ แล้วแบบนี้ ท่านนายกอภิสิทธิ์ ยังคิดที่จะทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่คบหากันมาช้านานไปเพื่ออะไร?

ประชาชนคนไทยที่ติดตามข้อมูลข่าวสารจะคิดะเช่นไรท่านลองกลับไปถามเขาดูหรือไม่? หรือเป็นเพียงการแอบอ้างความไม่พอใจของคนบางกลุ่มเพื่อใช้เป็นเหตุผล "สุมไฟให้ประเทศชาติร้อนระบุ" เศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วทรุดหนักลงไปอีก ภายใต้สโลแกนที่ว่า "เศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร ประชาชนจะทุกข์ยากแค่ไหนข้าไม่สน ตามล่าทำลายทักษิณเท่านั้นคืองานของเรา"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น