วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เทพไท แนะเพื่อไทยควรเปลี่ยนชื่อเป็น "เพื่อเขมร"




นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวนายกรัฐมนตรี แนะ "เพื่อไทย" ควรเปลี่ยนชื่อเป็น "พรรคเพื่อเขมร" นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไล่ทักษิณ นพดลเปลี่ยนสัญชาติ

คงมีหลายคนสงสัยว่านายเทพ เสนพงศ์ และนายอลงกรณ์ พลบุตร เป็นใคร ยิ่งใหญ่มาจากไหน สำคัญอบ่างไร เป็นเจ้าของประเทศไทยหรือไม่ ถึงอ้างตนเป็นผู้แทนคนทั้งประเทศ ขับไล่คนไทย 2 คน คือ อดีตนายกทักษิณ ชินวัตรและนายนพดล ปัมทะ ให้เปลี่ยนสัญชาติ รวมทั้งแนะให้ พรรคเพื่อไทย เปลี่ยนชื่อเป็น "พรรคเพื่อเขรม"อีกด้วย

ท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคงลืมไปแล้วว่า "สมาชิกพรรคเพื่อไทยทั้งประเทศมีจำนวนไม่น้อย" การที่ท่านออกมาให้สัมภาษณ์โดยไม่คำนึ่งถึงความรู้สึกสมาชิกคนอื่นๆ นั้นถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ หรือว่าเป็นการสร้างความแตกแยกให้คนในชาติมากขึ้นโดยใช้สื่อของรัฐบาลที่มีอยู่ในมือเป็นกระบอกเสียง

หรือท่านคิดว่าเป็นรัฐบาลคุมสื่อและมีผู้ช่วยล้นเหลือ "เป็นรัฐบาลเทพประทาน" แล้วจะสามารถพูดจาหรือทำอะไรก็ได้โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกคนไทยอีกจำนวนหนึ่ง

หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่า จากกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาเป็นรัฐบาลแบบเหนือเมฆ จึงทำให้ไม่เกรงกลัวผลและแรงเสียงทานใดๆ ซ้ำบรรดาโฆษก นักวิชาการ สื่อสายพันธมิตรฯ และ ส.ว. ลากตั้ง ยังออกมาให้สัมภาษ์รายวันอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม จึงที่ทำให้ประเทศชาติแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากขึ้น

มีคนจำนวนไม่น้อยมองว่า "รัฐบาลขาดความจริงใจในการแก้ปัญหา" ทั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศนโยบาย มุ่งเน้นความสามัคคีของคนในชาติเป็นนโยบายหลัก หากแต่เมื่อมองย้อนกลับไป นับจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก้าวเข้ามา บริหารประเทศ ความแตกแยกของคนในชาติกลับทวีความรุนแรงขึ้นและร้าวลึกมากกว่าเดิม ความสามัคคีของคนในชาติเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้ง ที่รัฐบาลพร่ำพูดเพียงลมปาก ซ้ำร้ายยังรุกรามบานปลายไปยังประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีความเห็นแตกต่างกับตนและพวกพ้องอีกด้วย

ส่วนกรณีที่ให้ "พรรคเพื่อไทย เปลี่ยนเป็นพรรคเพื่อเขมร" นั้น สมาชิกพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางและชาวชนบทซึ่งรู้จักกันดีในนาม "คนรากหญ้า" เขาเหล่านั้นไม่มีสื่อ ไม่มีปาก มีเสียง มากพอที่จะสามารถสู้สื่อของรัฐบาลได้ แต่จากกรณีที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ออกมาให้สัมภาษณ์ ชาวรากหญ้าไม่มีสื่อสารมวลชนอยู่ในมือ คงมีแต่เพียงข้าวของพื้นเมืองไว้รอต้อนรับรัฐบาลในยามลงพื้นที่อย่างใจจดใจจ่อ

และจากการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว นับแต่นี้คนของพรรคประชาธิปัตย์คงลงพื้นที่ลำบาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัดซึ่งมีคนของพรรคเพื่อไทยอยู่เป็นจำนวนมาก คนเหล่านั้นคงไม่วางเฉย ปล่อยให้รัฐบาลเทพประทานซึ่งอ้างตัวเป็นเจ้าของประเทศ ทั้งที่จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. น้อยกว่าพรรคเพื่อไทยเกือบครึ่ง ไล่พวกเขาให้เปลี่ยนสัญชาติไปเป็นเขมรแล้วลอยนวลอยู่อย่างสงบสุข

ถึงแม้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะใช้งบประมาณโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นเงินจำนวนมหาศาลมากกว่ารัฐบาลชุดอื่นๆ เพื่อเสนอผลงานให้ประชาชนรับรู้ แต่จากกรณีการออกมาให้สัมภาษณดังกล่าวคงสร้างความไม่พอใจกับ "สมาชิกพรรคเพื่อไทย" มิใช่น้อย

เพราะพวกเขาคิดว่ารัฐใช้อำนาจบิดเบีบยข้อมูลข้อสาร ยดตัวอย่างกรณี ปิดสถานีวิทยุหลายแห่ง สื่ออินเทอร์เน็ต ถอดถอนรายการโทรทัศน์ สื่อดาวเทียมของคนเสื้อแดง โดยให้เหตุผลว่าเป็นกระบอกเสียงของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และพยายามลากยาวไปว่าเป็นกลุ่ม "ล้มเจ้า" แทนที่ประเทศชาติจะสามัคคีสงบสุขเหมือนอดีตที่ผ่านมา กลับจะกลายเป็นตรงกันข้าม โดยที่ รัฐบาลท่านเจตนาให้เป็นไป หรือมองไม่เห็นความจริงข้อนี้ "เพราะความอดติ บิดเบือน และต้องการอำนาจไว้ในมือ" โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกประชาชนกันแน่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น