วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553
คดีเงินบริจาคเทียบยึดทัพย์ 7.6 หมื่นล้าน
น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เครือข่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดงพยายามหยิบยกกระบวนการพิจารณามาเทียบเคียงกับคดียึดทรัพย์7.6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ พรรคอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยอมรับการทำงานของกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนขององค์กรอิสระ หรือสถาบันตุลาการ ให้เดินหน้าไปโดยปราศจากการแทรกแซง ส่วนคดีเงินบริจาคนั้นพรรคเองก็ต้องการเห็นความชัดเจนยิ่งเร็วได้ยิ่งดี
ขณะที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่พรรคเพื่อไทยออกมาโวยวายว่าซื้อเวลาให้กับพรรคประชาธิปัตย์นั้น เป็นการหาเหตุผลเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยอ้างเรื่องสองมาตรฐาน กกต.จะต้องหนักแน่นในการพิจารณา ไม่ต้องกังวลกระแสกดดันหรือการข่มขู่จากคนภายนอก หากพรรคประชาธิปัตย์ผิดต้องลงโทษ หากประชาธิปัตย์ไม่ผิดควรจะยกคำร้อง การที่พรรคเพื่อไทยพยายามกล่าวหา กกต.ยุบประชาธิปัตย์ไม่ได้ เพราะเป็นพรรคของอำมาตย์ เป็นการใส่ร้ายเพื่อเชื่อมโยงการล้มอำมาตย์ คนที่บอกว่าจะเปิดโปงกระบวนการไม่ให้ยุบประชาธิปัตย์ควรจะนำหลักฐานมาเปิดโปงเลยเพราะความจริงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า การที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองให้สัมภาษณ์ว่า ไม่สามารถพิจารณากรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท และการใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ทันภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ทั้งๆ ที่ กกต.ทุกคนได้อ่านสำนวนจากอนุกรรมการ และสำนวนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยใช้เวลาดำเนินการมาร่วม 1 ปี แล้ว
ดังนั้น นายอภิชาต จะมาอ้างเรื่องเวลา และเลื่อนการพิจารณาต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้อีกแล้ว เพราะหมดเวลาที่นายอภิชาต จะยกเป็นข้ออ้าง กรณีดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาของนายอภิชาต ว่าน่าจะใช้เกมยื้อ ซื้อเวลาเรื่องดังกล่าวออกไปให้นานที่สุด เพื่อรอสถานการณ์ที่เหมาะสมแล้วอาจจะพิจารณาลงความเห็นเหมือนที่เคยให้ความเห็นไว้ว่า ให้ยกคำร้องไว้ในครั้งแรก
ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า การเลื่อนไปตัดสินหลังเดือนกุมภาพันธ์ก็เพราะต้องการดูกระแสการเมืองหลังคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีโดย กกต.จะรอดูสภาพของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงว่าเป็นอย่างไร หากปรากฏว่าอยู่ในสภาพเพลี่ยงพล้ำถูกโจมตีจากกระแสสังคม กกต.ก็จะอาศัยช่วงจังหวะชุลมุนนี้ ยกคำร้องช่วยพรรคประชาธิปัตย์ แต่หากหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้วสังคมเกิดความเห็นใจ กกต.ก็คงไม่กล้าฝืนกระแส โดยโยนเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ซึ่งถือเป็นกระบวนการที่น่าละอายอย่างยิ่ง ที่เอาคดีความมาอิงกับกระแสการเมือง ถือเป็นการซ้ำเติมระบบกระบวนการยุติธรรม ที่ถูกมองว่ามี 2 มาตรฐานของประเทศ
คัดลอกมาจาก จากหนังสือพิมพ์บ้านเมือง -- จันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 09:35:56 น.
แกนนำ นปช. เชิญชวนพี่น้องตบเท้าหน้าค่ายทหาร
วานนี้ (31 มกราคม) ที่เวทีคนเสื้อแดง จังหวัดขอนแก่น แกนนำ นปช.(แดงทั้งแผ่นดิน)ประกาศเชิญชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ไปรวมตัวกันที่หน้าค่ายทหารทุกจังหวัด ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เวลา 10.00 น. เพื่ออ่านแถลงการณ์ต้านรัฐประหาร ถ่ายทอดสดผ่านพีเพิลแชลแนล
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงประธาน กตต.สั่งเลื่อนคดีเงินบริจาค 258 ล้านไปหลังกุมภาพันธ์ ว่าเป็นการอุ้มพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับจี้รัฐบาลให้ตั้งกรรมการสอบกรณี เครื่องจีพี 200
วันนี้ (1 กุมภาพันธ์)พล.ต.ดร.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงได้ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่กองปราบฯ ตามสัญญา มีพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และบรรดาคนเสื้อแดงไปให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้น เสธ.แดง ยังได้แจ้งความที่กองปราบฯ ให้ดำเนินคดีกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ข้อหากบฏ
หลังจากนั้นเสธ.แดง จะแถลงข่าวร่วมกับนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และนายสุพร อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ผนึกกำลังต่อต้านอำมาตย์
สายวันนี้ที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปทุมวัน กลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้ไปยื่นหนังสือขับไล่ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม
เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น.สมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) พร้อมด้วยตัวแทนนักศึกษาได้เข้ายื่นหนังสือต่อต้านรัฐประหารที่กองบัญชาการทหารบก ยืนยันถ้ามีการยึดอำนาจพร้อมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องประชาชนคนเสื้อแดง
ด้านกลุ่ม 40 ส.ว. ออกมาจี้รัฐบาลให้เร่งหาวิธีจัดการ เสธ.แดง กรณีให้ข่าวขู่องค์การอิสระ
พรรคภูมิใจไทย ออกมากล่าวพร้อมส่งรายชื่อหนุนแก้ไขรัฐธรรมนูญให้พรรคชาติไทยพัฒนา นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ยืนยันครบ 32 เสียง
ด้านนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย บอกไม่โกรธปมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังกล่าวแนะนำนายอภิสิทธิ์ทำใจให้กว้าง
ด้านนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าว่าน่าจะยื่นญัติต่อสภาในวันพุธที่จะถึง
ภาพแห่งความสุข
ปฏิทินคนเสื้อแดง
วันนี้ (31 มกราคม)แกนนำ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ออกมาแถลงเปลี่ยนแปลงกำหนดการเคลื่อนไหว วันที่ 2 กุมภาพันธ์ จาก ตึกบัญชาการทหารอากาศย้ายมาที่กระทรวงกลาโหม
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ นัดรวมพลคนเสื้อแดงทั่วประเทศตบเท้าต้านรัฐประหารที่หน่วยทหารในแต่ละจังหวัด
และในวันพรุ่งนี้ (1 กุมภาพันธ์)เวลา 08.30 น. กลุ่มคนเสื้อแดงเชิญชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ ออกมาร่วมแสดงพลังขับไล่ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้วางแผนยุบพรรคพลังประชาชนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปทุมวัน หลังจากนั้นไปยื่นหนังสือให้ กมธ.ยุติธรรมสภาผู้แทนราษฎร
พร้อมกันนี้แกนนำคนเสื้อแดง ได้ขอความร่วมมือเพื่อนพ้องน้องพี่ให้ช่วยกันจับตาปฏิทินการเมืองในสัปดาห์หน้า วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พรรคร่วมรัฐบาลยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ และในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปฏิบัติหน้าที่รักษาการแทนผู้บัญชาการทหารบก
ก่อนหน้านี้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อหนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดง ออกมาระบุมีข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนำการปฏิวัติ ระหว่างวันที่ 4 - 14 กุมภาพันธ์ บอกคนเสื้อแดงให้เตรียมแผน 3ขึ้นรับมือ
"ทักษิณ" ขู่ฟ้องศาลโลกหากถูกยึดทรัพย์
หลังจากมีข่าวเรื่อง อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร บอกจะฟ้องศาลโลกหากไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาหน้าหู
นายสุเทพ เทือกสุบบรรณ รัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ออกมาระบุ “ทักษิณ” เพ้อเจ้อเรื่องฟ้องศาลโลกใน
คดีคดียึดทรัพย์ พรรคประชาธิปัตย์ออกมากล่าวถึงกรณีนี้ว่า “ทักษิณ” ไม่รู้กฏหมาย คดีนี้ไม่เข้าข่ายฟ้องศาลโลก
ด้านพรรคการเมืองใหม่เห็นว่าเป็นเรื่องตลก ที่ไม่มีทางเป็นไปได้
"ทักษิณ” จะฟ้องศาลโลกกรณีหากไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ได้หรือไม่ได้ ไม่มีใครรู้เนื่องจากเป็นเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ที่แน่ๆ กรณีจดหมายที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ ตามด้วยคำพูดของนายอภิสิทธิ์ถึงข้อตกลงกับบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล 2 ประเด็น คือ
1.ไม่มีการนิรโทษกรรม “ทักษิณ
2.ไม่มีการคืนทรัพย์สินให้ “ทักษิณ”
รวมทั้งเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ คมช. ยึดอำนาจ 19 กันยา 2549 เชื่อว่าต่างชาติเขาพอจะรู้ ประกอบกับ 3 หลายปีที่ผ่านมา มีคนบางกลุ่มเห็นว่า “ทักษิณ” ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ผู้เขียนจินตนาการไปว่า หากมีประชาชนคนไทยทั้งในประเทศและต่างแดนจำนวนนับล้านร่วมกันลงชื่อถึงศาลโลกเพื่อเรียกร้องทรัพย์สินคืนให้ “ทักษิณ” เพราะเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรมนับตั้งแต่ถูกโค่นอำนาจ เหมือนกับที่มีการร่วมลงชื่อถวายฎีกาแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประธิปัตย์คิดว่าพอจะมีน้ำหนักหรือไม่?
ไม่แน่ป่านนี้อาจมีคนบางกลุ่มเตรียมร่างเอกสาร ผลงาน 19 กันยา ไว้เรียบร้อยแล้วก็เป็นได้
วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553
แรมโบ้อีสานออกจากโรงพยาบาลบอกพร้อมลุยศึกเพื่อประชาธิปไตย
วันนี้ (31 มกราคม) นายสุพร อัตถาวงศ์ (แรมโบ้อีสาน)แกนนำ นปช.(แดงทั้งแผ่นดิน)และเพื่อนพ้องน้องพี่ ได้ออกจากโรงพยาบาลห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์แล้ว พร้อมทั้งได้กล่าวขอบคุณทุกกำลังใจและความห่วงใยจากพี่น้องคนเสื้อแดงที่มอบให้ แล้วยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้พร้อมที่จะลุยศึกเพื่อประชาธิปไตยต่อไป
แน่ใจว่าคงมีพี่น้องเสื้อแดงหลายคนใจหายใจคว่ำด้วยความเป็นห่วง และอยากฝากความห่วงใยไปถึงแกนนำท่านอื่นๆ ให้ระมัดระวังในการเดินทาง การใช้รถใช้ถนน "เมาและง่วง อย่าขับ" รักษาสุขภาพร่างกายให้พร้อม เพราะชีวิตประชาชนและลูกกหลานของคนไทยทั้งหลายผูกติดไว้กับพวกท่าน
เสวนา "เกิดอะไรขึ้นเมื่อสื่อจับมวลชนเป็นตัวประกัน"
วันนี้ (31 มกราคม)เวลา 13.00 น. ที่ลานเสรีภาพ ชั้น 5 ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว มีการเสวนาหัวข้อ "อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อสื่อจับมวลชนเป็นตัวประกัน
กลุ่มคนเสื้อแดงร่วม 2,000 คน เข้าร่วมฟังแกนนำ นชป.แดงทั้งแผ่นดินบรรยาย โรงเรียนต้านรัฐประหาร ที่ชั้น 6 ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว
กลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51นำเสื้อแดงเข้ากรุงเทพฯ เย็นวันนี้เพื่อเตรียมยื่นหนังสือ ให้พล.ต.อ.ประทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร. ปลด พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติในวันพรุ่งนี้ (1 กุมภาพันธ์)
รถ "แรมโบ้อีสาน" ประสบอุบัติเหตุ
มีข่าวด่วนแจ้งมาว่า วันนี้ (30 มกราคม)เมื่อเวลา 19.00 น.นายสุพร อัตถาวงศ์ (แรมโบ้อีสาน)เจ๋ง ดอกจิก และนายวันชนะ เกิดดี แกนนำ นปช.(แดงทั้งแผ่นดิน) ได้เดินทางไปร่วมเวทีปราศรัยที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ระหว่างทางประสบอุบัติเหตุ รถยนต์เกิดเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้ แรมโบ้อีสานได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลห้วยผึ้ง อำเภอห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์
ทางด้านกลุ่มคนเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51ยังคงปักหลักชุมนุมขับไล่ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ที่หน้า บชก.ตร.ภาค 5 แกนนำขึ้นเวทีประกาศเชิญชวนคนเสื้อแดงบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงเข้าร่วมชุมนุมโดยพร้อมเพรียงกัน
"ทักษิณ" โอดหมดตัว
ข่าวเด่นประเด็นร้อนที่อยู่ในความสนใจของประชาชนในเวลานี้คงหนีไม่พ้น คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของครอบครัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีการนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ฟ้องโดยอัยการสูงสุด ได้ยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
คดีนี้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ไต่สวนกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่นายกฯ เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของตนและพวกพ้อง จนทำให้มีฐานะร่ำรวยผิดปกติ
หลังไต่สวน คตส.สรุปผลสอบส่งให้อัยการเพื่อยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พร้อมขอให้ศาลยึดทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มาโดยไม่สมควรจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ล่าสุดบ่ายวันนี้ (30 มกราคม)"ทักษิณ" ทวิตเตอร์ครวญหมดตัวแล้ว บอกมีทรัพย์สินเหลือแค่ที่ถูกอายัด 7.6 หมื่นล้าน ถ้าถูกยึดก็หมดตัว แต่จะสู้จนถึงที่สุด อาจต้องขอพึ่งความเป็นธรรมจากศาลโลก
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553
มุมมองพุทธปรัชญาชี้นำความจริง
ทำไม..จึงไม่เท่าเทียม..?
โดย ปรัศนีย์ สัจวิพากษ์
-----------------------------------------
ในยุคแรกของการมีมนุษย์และสังคมมนุษย์บนโลกใบนี้ คนเราเท่าเทียมกันตรงที่ต่างสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์ปุถุชนเช่นเดียวกัน ไม่มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆบ่งบอกถึงความไม่เท่า นั่นคือคนเราเท่าเทียมกันโดยธรรมชาติ นับแต่ลืมตาดูโลก แต่แล้วเพราะอะไร ในกาลต่อมากลับมีกระแสความคิดว่าคนเราไม่เท่ากัน มีความแตกต่างกระทั่งแบ่งแยกเป็นหมู่เหล่าชนชั้นชัดเจน อย่างเช่นวรรณะ 4 ในสังคมอินเดียโบราณ เป็นต้น ทำไม ? เพราะอะไร ?
แนวคิดที่ใช้ตอบปัญหานี้
พุทธศาสนาตอบปัญหานี้ด้วยแนวคิดสักกายทิฏฐิ ซึ่งชี้ว่าการที่คนเรามองตนเองและผู้อื่นว่าแตกต่าง ไม่มีความเสมอภาคเท่าเทียมนั้น เกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่าเป็นเราเป็นเขาอย่างแบ่งแยก ไม่ใช่มนุษย์ที่สืบเชื้อสายมาจากมนุษย์เช่นเดียวกัน กระทั่งตั้งข้อรังเกียจในเผ่าพันธุ์ที่ไม่เหมือนตน นำไปสู่การดูหมิ่นเหยียดหยามกำจัดทำลายผู้อื่น
ทบทวนข้อมูล
ในอัคคัญสูตรได้กล่าวถึงวิวัฒนาการของสังคมนุษย์โดยสังเขปว่า เมื่อเริ่มมีผู้คนเพิ่มมากขึ้น มีการแย่งชิงอาหารการกิน แสดงความเป็นเจ้าของและหวงแหนที่ดิน ซึ่งเป็นทั้งแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัย เกิดความขัดแย้ง จำเป็นต้องแก้ไขความขัดแย้ง จึงสมมติให้ใครคนหนึ่งเป็นผู้นำ เขาได้ทำหน้าที่ตัดสินยุติความขัดแย้ง ผู้คนต่างพึงพอใจจึงสถาปนายศถาบรรดาศักดิ์ ยกย่องเชิดชูว่าเป็น ราชา ซึ่งหมายถึงผู้ที่สามารถทำให้ผู้คนเอิบอิ่มใจสุขใจ หรือเรียกว่ากษัตริย์ ซึ่งหมายถึงผู้ปกครองดูแลเขตแดน เป็นชนชั้นสูงที่
เรียกว่า วรรณะกษัตริย์ มีหน้าที่ปกครองบ้านเมือง
คนที่ไม่ชอบทำมาหากิน ตื่นเช้ามาก็ถือภาชนะใส่ข้าวหรืออาหารเดินไปตามบ้านเรือนแหล่งชุมชน ตามตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าในเมือง เมื่อมีคนนำอาหารมาให้ เขาตอบแทนคนเหล่านั้นด้วยการให้ความรู้คำแนะนำพร่ำคำสอน เมื่อกลับสู่ที่วิเวก พวกเขาจะเฝ้าครุ่นคิดทฤษฎีท่องบ่นสาธยายสิ่งที่ค้นพบ พร้อมทั้งเขียนคัมภีร์บันทึกเอาไว้เผยแพร่ นานวันท่านเหล่านี้ก็ถูกยกย่องว่าเป็นพราหมณ์หรือนักบวช ที่เรียกว่า วรรณะพราหมณ์ มีหน้าที่ผลิตคำสอนชี้นำแนวทางก้าวเดินของคนและสังคม ตลอดจนกล่อมเกลาโน้มน้าวสังคมให้ยอมรับในความแตกต่างทางชนชั้นว่าถูกกำหนดมาเช่นนี้ เสมือนเป็นพรหมลิขิต ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ชาวบ้านทั่วไปที่ประกอบกิจกรรมการเกษตร ค้าขาย ทำมาหากินมีครอบครัวลูกหลาน ถูกจัดให้เป็นกลุ่มชนชั้นแพศย์ หรือวรรณะแพศย์ ส่วนผู้ที่เป็นกรรมกรยากจนหาเช้ากินค่ำ มีความเป็นอยู่ฝืดเคือง ถูกจัดให้เป็นวรรณะศูทร
สุดท้าย คนที่เกิดจากการแต่งงานข้ามชนชั้นวรรณะจะถูกเรียกว่าจัณฑาล เป็นคนชั้นต่ำสุดที่แทบไม่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ เพราะเป็นผู้ที่มีสายเลือดไม่บริสุทธิ์ มีความสับสนปนเปในเรื่องชาติตระกูลที่ได้ถือกำเนิดมา
การวิเคราะห์ข้อมูล
แนวความคิดสักกายทิฏฐิจะอธิบายว่าการที่มนุษย์มีความเข้าใจว่าคนเราไม่เท่ากันนั้น เกิดจากการยึดติดในสิ่งที่พวกเขาสมมติกันขึ้น ทั้งหน้าที่การงานและยศถาบรรดาศักดิ์ กระทั่งจัดแบ่งกันอย่างชัดเจน พร้อมทั้งไม่ยอมสมาคมเกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงานข้ามชนชั้น ใครฝ่าฝืนกฎกติกาจะถูกประณามหยามหมิ่นอย่างรุนแรง ถูกจัดสรรให้เป็นชนชั้นต่ำสุดในสังคมทันที
ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ถูกบิดเบือนให้กลายเป็นไม่เท่า เพียงเพราะมีอาชีพการงานที่แตกต่าง ทั้งที่เป็นเรื่องปกติของสังคมซึ่งจะต้องประกอบด้วยกลุ่มคนที่ทำหน้าที่แตกต่างกันไป เพื่อสามารถสร้างผลผลิตนำมาแลกเปลี่ยนชดเชยความไม่สมบูรณ์ของกันและกัน ก่อเกิดความสมดุลย์สงบสุข ทำให้สังคมแต่ละส่วนสถาบันก้าวเดินไปพร้อมๆกันได้ ความแตกต่างทางหน้าที่ไม่ควรถูกนำมากำหนดเป็นสถานภาพของคนอย่างแข็งตึงอย่างนั้น แต่ก็เป็นเช่นนั้นไปแล้ว กระทั่ง ณ วันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า อำ
มาตยาธิปไตย หรือ คณาธิปไตย
แท้ที่จริง ตัวตนของมนุษย์ทุกคนหากแยกชิ้นส่วนออกมาเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ที่เรียกรวมๆว่าขันธ์ 5 แล้ว ทุกคนก็ไม่มีตัวตนที่แท้จริง แม้แต่กายเนื้อที่กินอยู่หลับนอนนั่งเดินกันได้ทุกวันนี้(รูป)นั้น แท้ที่จริงหากแยกแยะองค์ประกอบออกมาก็จะเป็นเพียงธาตุ 4 คือดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มารวมกันเป็นรูปหรือร่างกายที่ยาวหนึ่งวาหนาหนึ่งคืบเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรที่บ่งบอกความเป็นเราเป็นเขา เป็นวรรณะใดๆที่แตกต่างเลย ที่เห็นว่าแตกต่างเช่นนั้นเป็นเพราะการยึดติดในสิ่งสมมติ คือยึดถือในธาตุทั้ง 4 ว่าเป็นเราเป็นเขาชื่อนั้นชื่อนี้ ซึ่งไม่ใช่ความจริงแท้หรือความจริงสูงสุด(ปรมัตถสัจจะ) แต่เป็นเพียงความจริงที่สมมติขึ้น(สมมุติสัจจะ)เพื่อประโยชน์ในการสื่อสารระหว่างมนุษย์ ทว่ามนุษย์กลับไปยึดติดจริงจังไม่ปล่อยวาง ไม่นำพาว่าการยึดติดเช่นนั้นจะก่อให้เกิดความเกลียดชัง อยุติธรรม กดขี่ข่มเหง และเลือกปฏิบัติกับผู้คนอย่างไม่เป็นธรรมอย่างไร
การจัดแบ่งหน้าที่และเรียกขานกันว่าเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทรนั้น เป็นความจริงที่ถูกสมมติขึ้น เพื่อประโยชน์ในการมอบภาระหน้าที่แก่คนในสังคม ตามลักษณะสถาบันหรือองค์กรที่มีภารกิจแตกต่างกันไป เพราะไม่มีใครหรือองค์กรใดสามารถทำหน้าที่ทุกอย่างได้ดีในคนๆเดียวหรือองค์กรเดียว ไม่ได้จัดแบ่งเพื่อจะบอกว่าใครเป็นชนชั้นสูงหรือต่ำทราม ที่ไม่ควรเกี่ยวข้องปะปนกันให้มัวหมองชาติตระกูล นำไปสู่การรังเกียจหรือยำเกรงซึ่งกันและกันเกินเหตุ จนไม่อาจสัมผัสแตะต้องกันได้
พุทธศาสนามีมุมมองต่อเรื่องนี้อย่างตรงกันข้าม ดังปรากฏคำสอนในอัคคัญญสูตรที่ว่า
“วรรณะใดก็ตาม ตำหนิธรรมของตนออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วยประสงค์ว่าจักเป็นสมณะ สมณะก็จะเกิดมีขึ้นจากวรรณะทั้ง 4 นี้แล เรื่องที่จะต่างหรือเหมือนกันก็เพราะธรรม ความจริง ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐในหมู่ชน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต” (อัคคัญญสูตร ข้อ 66)
หมายความว่าคนเราจะแตกต่างกันก็เพราะธรรม(การปฏิบัติตัว) จะเหมือนกันก็เพราะธรรม อย่างเช่นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาที่ออกจากบ้านมาบวชเป็นพระนั้น ต่างก็มาจากตระกูลหรือวรรณะต่างๆทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นพระในพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน เพราะได้ปฏิบัติตนตามแนวทางแห่งพุทธธรรมเช่นเดียวกัน ไม่มีความต่าง กล่าวคือมีศีลหรือกฎกติกาสังคมที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน(สีลสามัญญตา) มีความคิดหรือมุมมองต่อชีวิตแบบเดียวกัน(ทิฎฐิสามัญญตา) และไม่เห็นด้วยกับทัศนะเดิมๆที่เคยยึดถือมา จึงละทิ้งความเป็นชนชั้นวรรณะต่างๆออกบวช ไม่คำนึงว่าในสังคมพระนั้นจะประกอบไปด้วยผู้คนวรรณะใดบ้าง ไม่รังเกียจที่จะอยู่ร่วมกับคนต่างวรรณะ จึงก่อเกิดเป็นสังคมแห่งความเสมอภาคเท่าเทียมอย่างแท้จริงขึ้นในสังคมพระอริยสงฆ์
ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดสูงส่งเพียงใด หากประพฤติตนทุจริตผิดศีลธรรมก็จะถูกตำหนิ ไม่มีวิญญูชนใดสรรเสริญว่าเลิศเลอสมบูรณ์แบบไปได้ และในที่สุดผลการกระทำทุจริตนั้นจะทำให้วรรณะนั้นตกต่ำไร้ความเจริญ ดังปรากฏข้อความว่า
“ไม่ว่าวรรณะใด ที่ฆ่าสัตว์เป็นปกติ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดหยาบคาย พูดเพ้อเจ้อ ละโมบ ปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นผิดเป็นปกติ ฯลฯ วิญญูชนติเตียนทั้งนั้น” (อัคคัญญสูตร ข้อ 52)
“ไม่ว่าวรรณะใด หากประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นมิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ เพราะการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าเมื่อสิ้นชีพจะเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต และนรก” (อัคคัญญสูตร ข้อ 67)
การเชื่อมโยงสู่ปัจจุบัน
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นการถกเถียงเรื่องความไม่เท่าเทียมในอดีตเมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว แต่ยังคงเป็นเรื่องเด่นประเด็นร้อนในสังคมไทยวันนี้ ที่อาจเติมเชื้อไฟแห่งความขัดแย้งให้ร้อนระอุยิ่งขึ้น เพราะการเลือกปฏิบัติของรัฐต่อคนแต่ละกลุ่มในหลายกรณี เช่น
1.การบุกรุกยึดครองพื้นที่ป่าสงวนของนายพล ข้าราชการ นายทุน และคนยากคนจนทั่วไป แต่คนจนติดคุก
2.การถ่วงเวลาไม่เร่งรัดดำเนินคดีกับเหล่าพันธมิตรที่ไม่ได้เคลื่อนไหวตามแนวทางสันติอหิงสา แต่เร่งรัดดำเนินคดีกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ต่อต้านรัฐบาลโดยสงบปราศจากอาวุธ
3.ควบคุมสื่อสารมวลชนของรัฐและเอกชนทั้งโดยตรงโดยอ้อม เพื่อให้นำเสนอข่าวสารของฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น
4.สนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร แต่ขัดขวางและสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกำลังทหารหน่วยรบติดอาวุธพร้อมสังหาร เหมือนบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม เป็นต้น
ตราบเท่าที่ยังมีมุมมองต่อผู้คนอย่างมีอคติ แบ่งแยกเป็นสีเหลือง-แดงชัดเจน และปฏิบัติต่อคนสองกลุ่มในมาตรฐานที่แตกต่าง ยึดมั่นในตัวตนอย่างอหังการมมังการ “เรา..พรรคพวกของเราต้องมาก่อน ประชาชนมาทีหลัง” มองผู้ไม่เห็นด้วยว่าเป็นศัตรู ไม่ใช่ประชาชนผู้มีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ที่ต้องเอื้อเฟื้อดูแลอย่างเท่าเทียมเช่นกัน
ความเจ็บช้ำน้ำใจจะถูกตอกย้ำขยายวงให้กว้างออกไปยิ่งขึ้น พร้อมกับทางตันและหุบเหวแห่งความเสื่อม
นี่คือพิษสงของทัศนะอันบิดเบือนว่าคนไม่เท่าเทียม ซึ่งเป็นทางตันทางจิตวิญญาณ ปิดกั้นพัฒนาการแห่งประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ว่าอำมาตย์หรือยาจกก็ต้องยกระดับจิตให้ข้ามผ่านเช่นกัน
คือ..ความมั่นคง
เรื่องสั้นการเมือง
โดย มนต์ เมืองมาย
“ติ๊ดๆๆๆๆ..ติ๊ดๆๆๆๆ..ติ๊ดๆๆๆๆ..” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมกับจินตนาการของคนโทรที่ลุ้นให้ผมรับสาย
“รับสิๆรับสิโว้ย..ไอ้ห่า” เรื่องอะไรจะไม่รับ คนอย่างผมมันชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แคร์สังคมอยู่แล้ว โดยเฉพาะเจ้าหนี้
“สวัสดีครับเจ๊ งวดหน้าได้ไหมครับ ผมจะจ่ายให้ทบสองงวดเลยเอา เดือนนี้มัน..” ผมผลัดผ่อนต่อรองอย่างร้อนรนไม่ทันฟังเหนือฟังใต้ คู่สนทนาหัวเราะคิกคักทำให้ผมชะงักกึ๊ก
“ฉันเองพี่ จ๋อมไง ท่าจะบ้า ก่อหนี้ไว้เยอะล่ะสิ” นังจ๋อมน้องสาวคนเล็กนั่นเอง เพียงรับรู้ว่าเป็นมันก็ทำให้รู้สึกเบาใจที่จะเปิดเผยบัญชีหนี้สินผ่านสื่อไร้สาย ความจริงก็พอรู้ๆกันอยู่ในหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย
“เออ..สี่แสนแปดกับอีกยี่สิบห้าสตางค์” ผมบอกอย่างไม่ปิดปัง เครดิตระดับผมกู้ได้แค่นี้ก็นับว่าบุญพาวาสนาส่งแล้ว ไม่ต้องไปน้อยใจมันหรอก ผมปลอบใจตัวเองแบบประชดประชันความด้อยโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน ค่อนข้างมั่นใจว่าถึงอย่างไรชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีสิทธิ์ได้สัมผัสการล้มบนฟูกอย่างเศรษฐีร้อยเล่ห์พันเหลี่ยมพวกนั้น
“เรื่องของพี่ ฉันไม่เกี่ยว”
“เออ..ประเสริฐแท้ น้องกรู” ผมประชดอย่างขมขื่น ทีมันขอสี่ซ้าห้าหมื่น ผมไม่เคยขัดข้อง แต่พอผมจะยืมมันบ้าง แม่คุณกลับคิดดอกซะงั้น พักหลังผมเลยต้องบอกว่ามีหนี้บานเบอะอย่างว่า มันเลยไม่มารบกวน เช่นเดียวกับเพื่อนฝูงคนอื่นๆ พอเจอหน้าไม่ทันที่ผมจะอ้าปาก มันรีบทักทายโบกไม้โบกมือชิ่งหนี บอกไม่ว่าง รีบไปซักผ้าให้เมีย ที่แท้กลัวผมยืมตังค์ โธ่..ทำไมจะไม่รู้สันดานพวกมัน นึกแล้วยังเจ็บใจไม่หาย เอาเถอะ..รวยเมื่อไรจะเชิดให้ดู
“แหม..พี่ก็ ฉันน่ะดูแลพ่อนะ เงินทองของพี่ฉันก็เอามาใช้ในบ้านนี่แหละ รับภาระแทนพี่งกๆอยู่นี่ไง” น้องเล็กเถียง บังคับให้ผมต้องยืนยันถ้อยคำเดิม
“เออ..ก็ถึงว่าประเสริฐไง ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย” ผมพูดไปเรื่อยให้น้องนุ่งสบายใจ ความจริงก็ไม่ได้ติดใจอะไรนักหนา ชีวิตคนเราก็ขึ้นๆลงๆเหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เพียงแต่คนจนเปรียบเหมือนหุ้นราคาต่ำ มีโอกาสราคาตกมากกว่าขึ้น เรื่องของเรื่องก็คือปัจจัยด้านลบมันมากกว่าปัจจัยด้านบวก โอกาสสร้างข่าวปั่นหุ้นก็ไม่มี ต้องอับจนดักดานกันต่อไป ชีวิตรายล้อมไปด้วยปัจจัยที่อาจทำให้เพลี่ยงพล้ำซวนเซไร้หลักประกันอยู่ทุกลมหายใจ
“ช่างเถอะ..เมื่อวานพ่อบอกจะขายที่”
“หา..จะขายทำไม ที่แค่กระแบะมือเดียว โอย..ตายๆๆๆ..” ผมหลุดปากออกไปอย่างใช้อารมณ์ซึ่งเสียมารยาท แม้ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจอย่างนั้น แต่ก็ควรตั้งสติรับฟังอย่างสุขุมเคารพในทัศนะผู้อื่น ตามวิสัยนักประชาธิปไตยสมบูรณ์
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าเกษตรกรส่วนใหญ่นั้นมีชีวิตอยู่อย่างจำยอมและจำเจ พวกเขามีทางเลือกไม่มากนัก เมื่อเห็นว่าที่ทางพอจะมีราคาก็อยากจะขายทิ้งๆไป เพราะขืนดันทุรังทำไปก็มีแต่จะลำบากยากจนหนี้สินท่วมท้นเช่นเดิม
ก่อนหน้านั้นพ่อขายที่ไปแล้วสิบแปลง เพื่อปลดหนี้สินและแบ่งให้พี่ๆน้องๆรวมทั้งผมไปลงทุนค้าขายเล็กๆน้อยๆ ทว่าต่อมาก็เจ๊งไม่เป็นท่า หอบเสื่อหมอนหม้อข้าวขวดน้ำปลากลับบ้านอย่างเจ็บช้ำ วันนี้เราจึงเหลือที่อยู่ไม่มาก ประมาณว่าพอปลูกบ้านอยู่อาศัยเฉพาะลูกหลาน ส่วนที่เหลือก็แค่พอเพียงสำหรับปลูกผักบุ้ง ผักกาด หอม กระเทียมเล็กๆน้อยๆแทบไม่พออยู่พอกินเท่านั้นเอง
“เห็นบอกว่าอยากมีเงินเก็บในบัญชี เผื่อเป็นอะไรไป พวกเราจะได้ไม่ลำบาก นี่ก็บ่นๆว่าไม่มีคนดูแล”
“เอ้า..พูดไปได้ ไอ้พวกลูกหลานที่อยู่เต็มบ้านมันแมวหรือไง”
“ก็นั่นแหละ ฉันก็นั่งหัวโด่อยู่เนี่ย ยังพูดมาได้ ไม่รู้แกคิดยังไง พี่มาคุยเองแล้วกัน”
“นั่น..กรูอีกแล้ว งานเข้า” ผมนึกบ่นในใจก่อนเอ่ยปาก
“เออๆเดี๋ยวไป คุยทางโทรศัพท์ไม่ได้อยู่แล้ว”
ผมยุติการสนทนาปัญหาครอบครัวอย่างรู้สึกอ่อนเพลียละเหี่ยใจ ที่คุยทางโทรศัพท์ไม่ได้ ก็เพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะถ้าผมโทรไปตอนเมา พ่อจะเป็นฝ่ายยึดอำนาจพูดจ้ออยู่คนเดียวแบบหลวงตาถือใบลานนั่งเทศน์บนธรรมมาสน์ ปล่อยให้ผมต้องทนฟังอย่างสุดเซ็ง พยายามจะแทรกด้วยคำถามเพื่อให้ได้เว้นวรรคโต้ตอบกันบ้าง แบบการสื่อสารสองทางแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะแกไม่เปิดโอกาสให้แหย่คำถามเข้าไปได้เลย
จนป่านนี้ผมยังไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่มีทักษะในการใช้เครื่องมือสื่อสารยุคดิจิตอลของผู้สูงวัยได้ จำต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิมอย่างเร่งรีบ ก่อนที่ทางผืนนั้นจะถูกแปรสภาพเป็นธนบัตร ซื้อกินซื้อใช้กลายเป็นกากอาหารล่วงหล่นลงในสุขาสังฆัสสะสามัคคี
“เป็นไงพ่อ คิดยังไงถึงจะขายที่” ผมถาม
“กรูก็อยากมีเงินติดกระเป๋ามั่งซิ อยากปลูกบ้านตากอากาศกะเขามั่ง” เพียงได้ยินผมหัวเราะหึนึกขำ
“อ้าว..รู้เรื่องกะเขาด้วย เออ..ใช้ได้ๆ”
“กรูก็คนนะมรึง ไม่ใช่ตอไม้แห้ง” ผมพยักหน้าพลางตอบโต้ในใจ
“ใช่ซิ..ถ้าเป็นตอไม้อย่างว่า ผมจะต้องตาลีตาเหลือกมานี่ทำไม”
แต่ก็เข้าใจเหตุผลความจำเป็น ไม่ว่าคนจนคนรวย ถ้ายังตัดกิเลสไม่ขาด เรื่องจะมักได้ใคร่ดีมันก็มีกันทุกคน เรียกว่าเป็นคุณสมบัติพื้นฐานธรรมดาสามัญประจำกมลสันดาน ใครๆต่างก็ฝันถึงยอดเงินในบัญชีที่เพิ่มขึ้น พอๆกับทรัพย์สินและอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลาย แม้ไม่มีในความจริงก็ขอให้มีในชั่วแวบแห่งความฝันก็ยังดี จะว่าไปถ้าไร้ฝันไร้จินตนาการเสียแล้ว ไฉนเลยจักมีความศิวิไลซ์บนโลกใบนี้
“เลี้ยงไก่เยอะล่ะสิ ทำเล้าซะมาตรฐานขนาดนั้น” ผมเปรยขึ้นพลางพยักพเยิดไปทางสิ่งปลูกสร้างที่มีรูปทรงคล้ายกระท่อมหรือเถียงนา
“บ้า..เล้าไก่พ่อมรึงซิ บ้านกรูโว้ย”
“อ้าว..แล้วกัน นี่มีบ้านพักส่วนตัวแล้วเรอะ”
“อือ..คนอย่างกรูมันเสรีชน ไม่อาศัยใครอยู่แล้ว” ผมพยักหน้าเออออตามน้ำ การพึ่งพาตนเองได้มันเป็นเรื่องดีน่าสนับสนุนทั้งนั้น และถ้าเขาจะหยิ่งบ้างก็เป็นสิทธิของเขา อย่าหมั่นไส้เลยพี่น้อง
แต่ใครจะไปคิดว่านั่นคือบ้าน เท่าที่เห็นตรงหน้ามันคือกระท่อมหลังเล็กขนาดสี่เสา แต่ไม่ได้อยู่เทเวศร์ กว้างยาวไม่เกินสี่เมตร หลังคามุงด้วยหญ้าคา ไม่มีหน้าต่าง ด้านหน้าเจาะเป็นประตูทางเข้า มีบันไดเตี้ยๆพาดลงมา เพื่อสามารถก้าวเท้าขึ้นเหยียบมุดหัวเข้าไปโดยไม่ต้องยืน เพราะเพดานมันเตี้ยมากๆ
เหมาะกับชายสูงวัยอายุเกินแปดสิบอย่างพ่อ ผู้มีผิวพรรณหยาบกร้านเรือนร่างเรียวเล็กผอมบาง เวลายืนหลังจะค่อมโก่งงอพับลงไป เวลาเดินก็จะยื่นหน้าไปก่อน รูปร่างต่ำเตี้ยลงมาก คาดว่าคงจะสูงประมาณ 150 เซ็นติเมตรได้ จากที่เคยมีรูปร่างสูงใหญ่สง่างามไม่ต่ำกว่า 170 เซ็นติเมตรเมื่อ 50 ปีที่แล้ว
หากประเมินตามหลักวิชาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุที่เคยผ่านสมองมาบ้าง ผมเห็นด้วยว่าคนสูงวัยเยี่ยงนี้มีความสามารถในการทำงานลดลง ตามกำลังวังชาที่เสื่อมถอย เช่นเดียวกับหูที่เริ่มไม่ได้ยิน สายตาพร่ามัวมองสภาพแวดล้อมได้ไม่ชัด เพราะความเสื่อมแห่งทุกองคาพยพของอวัยวะที่เกิดขึ้นตามวัย นับวันเพื่อนฝูงคนรู้ใจมีแต่จะล้มหายตายจากพลัดพรากจนเหลือแต่เขาคนเดียว การสมาคมพูดคุยลดน้อยลง มีการปลีกตัวแยกตัวจากสังคมเพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและเกิดปัญหาสุขภาพจิต
ไม่ว่าคนจนหรือคนรวยมีอำนาจวาสนา ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ว่าอาจหวั่นไหวไม่มั่นใจในอนาคตตนเอง ใครจะดูแลยามแก่เฒ่าเจ็บป่วย ถึงที่สุดใครจะจัดงานศพเมื่อล่วงลับดับชีพ งานจะออกมาดีสมเกียรติศักดิ์ศรีหรือไม่เพียงใด นั่นคือข้อวิตกทุกข์ร้อนที่สุมอยู่ในอก ทำให้นอนไม่หลับกระสับกระส่าย ยิ่งถ้าปลีกตัวครุ่นคิดคนเดียวตามลำพังบ่อยเข้า จบข่าวเลยครับท่าน โรคจิตตามหาถึงบ้าน
“เออ..พ่อ เห็นนังจ๋อมมันบอกว่าพักนี้พ่อดูเงียบๆขรึมๆจนมันกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้”
“บ๊ะ..กรูก็แก่ป่านนี้แล้ว มันจะให้ร้องรำทำเพลงทั้งวันรึไง” ผมหัวเราะ
“ก็ไม่ใช่ยังงั้น คือมันก็คงเป็นห่วงว่าพ่อมีอะไรกลุ้มอกกลุ้มใจหรือเปล่าเท่านั้นแหละ เลยโทรเรียกผมมาเนี่ย”
“หึ..ไม่มีอะไร เออ..มี”
“อ้าว..อะไร ยังไง มีหรือไม่มี” ผมถามย้ำ
“ก็ไอ้ปลวกจัญไรนี่สิ มันแทะเสาวิมานข้าจะพังอยู่แล้ว ถึงได้นั่งกลุ้มอยู่เนี่ย จะจุดไฟเผาหรือก็ใช่ที่ ไอ้ยากำจัดปลวกก็แพงบรรลัย ขวดละสามหมื่นห้า” ผมหัวเราะ
“โอย..บ้าแล้ว มีที่ไหนกัน โดนแหกตาเข้าแล้ว ตายๆๆๆ ไอ้ที่บอกขายที่เนี่ย จะเอาเงินไปซื้อยาใช่ไหม”
“อือ..ไม่รู้นี่หว่า เห็นมันบอกว่าเป็นของนอก ราดทีเดียวอยู่ไปห้าปีไม่มีปลวกมายุ่ง”
“โอ..เข้าใจแล้ว” ผมถึงบางโอทันทีที่สนทนาสอบถามมาถึงตรงนี้ นึกว่าอะไร หลงวิเคราะห์วิจารณ์ตามหลักวิชาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุเป็นตุเป็นตะ ที่ไหนได้ มันก็แค่ปัญหาขี้ผงเข้าตาหญ้าปากคอกนี่เอง
*******************
มุมหนึ่งของกรุงเทพมหานคร
“ตุ๊ดๆๆๆ..ตุ๊ดๆๆๆ..ตุ๊ดๆๆๆ..” เสียงเครื่องสื่อสารส่งสัญญาณเรียกตามปกติ ทว่าคนรอสายกระหายการตอบรับอย่างร้อนรนจนต้องระเบิดอารมณ์ออกมา
“สาดดเอ้ย..รับซะทีสิวะ มันจะฆ่ากรูอยู่แล้ว”
“ครับพี่ มีอะไรให้รับใช้ครับ” เจ้าคนรับสายเอ่ยเสียงนุ่มอย่างใจเย็น
“พวกมรึงไปมุดหัวอยู่ไหนรีบมาเดี๋ยวนี้เลย สาดด นายจะเอากูตายแล้ว”
“ก็เอาไปสิ ชอบไม่ใช่เรอะ”
“ว่ะ..ไอ้นี่ วอน กรูบอกให้รีบให้รีบ แมร่งเอ้ย” หัวหน้าทีมบอดี้การ์ดสบถก่อนวิ่งพรวดตาเหลือกเข้าหาชายสูงวัยรายงานความคืบหน้า
“สักครู่ครับท่าน อีกไม่เกินห้านาที” เขารับทราบอย่างเคร่งเครียด มันเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ถูกมวลชนฝ่ายตรงข้ามติดตามราวีไม่เป็นอันกินอันนั่ง อุตส่าห์เลือกหลบมุมมาดื่มกินอย่างไม่ให้เป็นที่เอิกเกริกอย่างขบวนแห่นาค ก็ยังถูกติดตามมาขัดขวางช่วงเวลาแห่งความสำราญกับอาหารหวานคาวมื้อเที่ยงนี้อีกจนได้ ช่างไม่เคารพในสิทธิเสรีภาพกันบ้างเลย
“ออกไป..ออกไป ออกไป...” เสียงตะโกนขับไล่ดังอื้ออึงใกล้เข้ามา ผู้คนแตกตื่นรีบเช็คบิลสาวเท้าก้าวออกหลังร้านอย่างขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆกัน เช่นเดียวกับพนักงานภายในร้าน หลายรายหนีขึ้นไปหลบชั้นบน ส่วนที่เหลือควบคุมสติได้ก็ยังคงให้บริการพาลูกค้าหลบออกหลังร้าน ทิ้งรถไว้ด้านหน้าเอาตัวรอดไปก่อน
“รัฐบาลโจร..ออกไป รัฐบาลโจร..ออกไป” ครั้งแล้วครั้งเล่าที่แกนนำร้องตะโกนว่ารัฐบาลโจร ผ่านเครื่องขยายเสียงที่ติดตั้งบนรถปิคอัพ มวลชนก็ประสานขานรับว่าออกไป ดังกระหึ่มกึกก้องกลบทับสรรพเสียงบริเวณนั้น ผู้คนหยุดชะงักสรรพกิจพากันมามุงดูอย่างประหลาดใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“โธ่โว้ย..มัวทำอะไรอยู่วะ มาซะทีซิโว้ย ไอ้ห่าลาก” หัวหน้าทีมผู้พิทักษ์ความปลอดภัยบ่นพำพึมแล้วสบถอย่างสุดทน เดินไปเดินมาพลางชะเง้อมองทาง ชั่วครู่จึงถอนหายใจคลายสีหน้าเคร่งเครียดวิ่งเข้าไปรายงาน
“เชิญครับท่าน พร้อมแล้วครับ” ชายสูงวัยมากสง่าราศีลุกพรวดขึ้นอย่างมีแรงขับภายในที่อัดแน่นอยู่ โดยไม่ต้องประคอง เขารีบสาวเท้าก้าวตามบอดี้การ์ดผู้เคลียร์เส้นทางเบื้องหน้า ปิดท้ายด้วยทีมระวังหลัง เร่งรุดไปที่พาหนะก่อนขับเคลื่อนออกไปอย่างเร่งรีบ
“พวกคุณทำงานกันยังไง หละหลวม ชุ่ยที่สุด ใช้ไม่ได้” ชายสูงวัยผู้รอดชีวิตอย่างหวุดหวิดต่อว่าหัวหน้างานข่าวกรองอย่างไม่ไว้หน้า หลังกลับถึงที่พำนัก
“ประทานโทษครับ คาดไม่ถึงจริงๆว่าพวกมันจะกำแหงขนาดนี้ เสียแรงที่ให้โอกาสกลับตัวกลับใจ” เขากล่าวอย่างสำนึกผิด ก่อนโยนบาปว่ามันเป็นเรื่องของคนเลี้ยงไม่เชื่อง แล้วก้มหน้านิ่งคิด
“ทั้งปี แล้วเมื่อไหร่คุณจะคาดถึงห๊า..” เขาสะดุ้งเฮือกเงยหน้าขึ้นมองแล้วนิ่งเงียบไปอีก ไม่แน่ใจว่าควรเสนอทางออกอย่างไร จึงจะเป็นที่พอใจ
“คุณจะปล่อยให้ไอ้พวกขี้ข้ากลุ่มอำนาจเก่ามาทำอย่างนี้อีกไม่ได้นะ ต้องหาทางกำราบไว้บ้าง ก่อนที่มันกำเริบเสิบสานไปมากกว่านี้”
“ครับท่าน ผมจะพยายาม”
“ไม่ใช่พยายาม..คุณต้องลงมือวันนี้และเดี๋ยวนี้ ผมรับไม่ได้กับสภาพบ้านเมืองแบบนี้ คุณเข้าใจไหม มันใช้สิทธิเกินขอบเขต ไม่มีขื่อมีแป”
“แปลว่าเราจะห้ามการชุมนุมเคลื่อนไหวยังงั้นเหรอ นานาชาติจะลดเครดิตเรานะครับ”
“คุณก็ประสานให้ฝ่ายนิติบัญญัติของเราช่วยกันผลักดันสิ ร่างกฎหมายก็มีอยู่แล้ว ก็แค่หยิบขึ้นมาปัดฝุ่นเสนอเข้าไป”
“อ้อ..ให้รัฐสภารับรองความชอบธรรม ลดแรงต้านจากภายนอก”
“ใช่..ต้องเร่งรัดให้ทันสมัยประชุมนี้เลย ไม่เช่นนั้นทุกอย่างเหลวหมด” หัวหน้าหน่วยข่าวพยักหน้านิ่งคิดอย่างเห็นจริง ถ้าไม่รีบดำเนินการในยุครัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารชุดนี้ ทุกอย่างจบ การสถาปนาอำนาจให้สามารถสืบทอดส่งผ่านต่อไปจักไม่อาจเกิดขึ้นได้
“เราจะสู้กระแสต่อต้านกฎหมายนี้ไหวไหม กี่รัฐบาลมาแล้ว กฎหมายนี้ไม่เคยผ่านการพิจารณาเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“ก็อย่างที่บอกให้เร่งรัดพิจารณาสามวาระรวดไง แล้วก็อย่าทำเอิกเกริกให้ไอ้พวกสื่อตามคุ้ยแคะอีก ใครพูดมากก็เลี้ยงดูมันหน่อย”
“ครับท่าน ผมจะรีบดำเนินการ”
“อือ..พอกันที ไอ้นโยบาย 007/m 79 ”
“เพราะนโยบายนี้แท้ๆ พวกมันถึงรุกคืบเข้ามาเคลื่อนไหวในเมือง แถมดึงพวกเราเข้าร่วม ล่าสุดก็ถล่มแพนตากอนซะยับเยิน เอาไว้ไม่ได้”
*********************
“พวกมันคือภัยคุกคามความมั่นคงกระท่อมกรู ไอ้มดปลวกพวกนี้ ไปเอายามาราดซิ” พ่อผมร้องสั่งให้ใช้มาตรการตอบโต้ขั้นเด็ดขาด
ผมนึกค้านในใจ ถึงอย่างไรมดปลวกก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ พวกมันควรมีสิทธิเสรีภาพในการหยัดยืน การทำลายมันก็เท่ากับทำลายวงจรของระบบนิเวศน์ให้ขาดหายไปหนึ่งวงจร ซึ่งไม่อาจประเมินได้ถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผมจึงลังเล
“เอ..แล้วจะเลือกอะไร ระหว่างความมั่นคงของพ่อกับมดปลวกพวกนั้น นี่หรือคือความมั่นคง”
***************************
วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553
รัฐบาลพลัดถิ่น
เมื่อวันที่ 23 มกราคม คนเสื้อแดงได้จัดชุมที่เขาสอยดาว อ.โป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี เมื่อเวลา 21.30 น. อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้วีดีโอลิงค์มายังที่ชุมนุมคนเสื้อแดงบริเวณหน้าสนามกอล์ฟสอยดาวไฮแลนด์ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี โดยกล่าวขอบคุณกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุมในวันนี้ พร้อมยืนยันจะต่อสู้จนถึงที่สุด และหากเกิดการปฏิวัติขึ้นมาอีก ก็พร้อมจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นสู้ เพื่อให้ได้ซึ่งประชาธิปไตยกลับคืนมา
พร้อมกันนี้ได้กล่าวถึงการบุกรุกที่ป่าสงวน เขายายเที่ยง ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และกรณีของสนามกอล์ฟที่เขาสอยดาว ถือเป็นการเปิดโปงคนชั้นสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน จนต้องมีการคืนที่ดิน
ยังมีกรณีที่มีการยิงประชาชนตาย แล้วก็ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน แต่สุดท้ายก็ให้จบแบบเกี้ยเซี้ยกันไป ซึ่งประชาชนก็ไม่รู้ความจริง แต่วันนี้ มีคณะผู้จัดทำรายการความจริงวันนี้นำเอาความจริงมาเปิดเผย จึงทำให้คนเสื้อแดงออกมาต่อสู้จำนวนมาก ไม่มีครั้งใดที่คนมาร่วมกันมากขนาดนี้ เมื่อครั้งที่คนของรัฐบาลใช้เฮลิคอปเตอร์เข้าไปล่าสัตว์ป่าสงวน มีการเปิดโปงโดยนักศึกษา จนเกิด 14 ตุลาฯ แต่การต่อสู้ของคนเสื้อแดงในครั้งนี้จะยิ่งใหญ่กว่าครั้งนั้น
อดีตนายกฯ ทักษิณ ยังได้กล่าวถึงเสธ.แดง มีคนโทรศัพท์มาเล่าให้ฟังว่า เสธ.แดง จะมาร่วมเวทีคนเสื้อแดงด้วย ต้องขอยกย่องว่า แน่มาก ที่จะมาเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกัน ก่อนจบ อดีตนายกฯ ทักษิณ ได้เรียก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กที่เดินทางมาเยี่ยมพามาออกกล้องผ่านวิดีโอลิงค์ พร้อมกับบอกว่า "วันนี้ตนอารมณ์ดี เพราะลูกสาวคนเล็กมาเยี่ยม"
ผลสืบเนื่องจากโวดีลิงค์ที่เขาสอยดาว ในคืนวันที่ 23 ได้มีหลายฝ่ายออกมากล่าวถึงกรณีนี้ ฝากรัฐบาลนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาบอกรัฐบาลกำลังจับตามองกองกำลังสนับสนุนรัฐบาลพลัดถิ่นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างใกล้ชิด
นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ กล่าวว่า “ทักษิณ” ไม่มีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นเพราะถ้าเกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้น ตนเองเป็นรัฐบาลที่ถูกปฏิวัติไม่ใช่รัฐบาลของทักษิณเหมือนปี 2549 ยืนยัน หนักแน่นว่างานนี้ไร้รัฐบาลพลัดถิ่น
ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงว่าการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นต้องมีเงื่อนไขคือ การปฏิวัติ เช่น รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ถูกปฏิวัติ และมีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก แต่กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ เลยเงื่อนไขไปหมดแล้ว และหากพ.ต.ท.ทักษิณ จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ก็ทำได้แค่ 2 ประเทศเท่านั้นคือ ประเทศกัมพูชา และประเทศซิมบับเว
ทางด้าน พรรคการเมืองใหม่ได้ทีออกมาเย้ย พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็นได้แค่รัฐบาลพลัดหลง
“ทักษิณ” จะพลัดหลงหรือพลัดถิ่นก็แต่แล้วแต่จะคิดและว่ากันไป นิรนามคาดคงว่ามีหลายฝ่ายอยากเตือนรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วยหวังดีและเป็นห่วงว่า “อย่าได้ประมาท” เหตุเพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเวลานี้ประเทศชาติขาดความสมานฉันท์เพียงใด นับวันกระแสคนเสื้อแดงก็แรงมากทั้งยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในและต่างประเทศ
แรงชนิดที่เรียกว่าบรรดาคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยกล้าออกมาท้ารัฐบาลเหยงๆ ให้ยุบสภา เหตุเพราะแน่ใจว่า หากมีการเลือกตั้งใหม่พรรคฝ่ายค้านจะได้เสียงข้างมากอย่างแน่นอน
และยังมีการอ้างอิงจากผล"โพลภายใน" ที่พท.ว่าจ้างสำนักโพลอินเตอร์ทำผลสำรวจคะแนนความนิยมในพรรคเป็นรายภาค โดยพบว่าถ้ามีการเลือกตั้งวันนี้-พรุ่งนี้ "เด็กทักษิณ" มีโอกาสเข้าวินเฉียด 300 เสียง โดยแบ่งเป็นภาคอีสานประมาณ 100 เสียง ภาคเหนือ 50 เสียง
ภาคกลาง 40-50 เสียง กทม. 19 เสียง ที่เหลือเป็นสส.สัดส่วน
ที่สำคัญตัวเลข 300 เสียงของ"โพล พท." บังเอิญเป็นตัวเลขเดียวกับ "โพลของ กอ.รมน." ที่มีประวัติความแม่นยำแบบสุดสุด "โพลสีเขียว" ให้ "พรรคสีแดง" เข้าวินด้วยคะแนน 300 บวก-ลบ 10 เสียง และให้พรรคประชาธิปัตย์ 140 บวก-ลบ 10 เสียง ข่าวนี้กระจายไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ
ยังมีด้านความสัมพันธ์ระหว่างต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนานของนายกรัฐมนตรีไทยที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ ต้องไปเยือนประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเชื่อมสายสัมพันธ์ แต่เวลาผ่านไปปีเศษ รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ก็ยังไม่สามารถไปเยือนพม่าได้
ไหนจะเรื่องความบาดหมางระหว่างไทยกับกัมพูชาเขมรซึ่งเรื่องนี้มีข่าวดังกระฉ่อนไปทั่วโลก แล้วยังมีเรื่องรัฐบาลนายอภิสิทธิ์แต่งตั้งผู้ที่ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ซึ่งต่างชาติถือเป็นผู้ก่อการร้ายปิดสนามบินนานาชาติ ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญทั้งที่ปรึกษาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอย่างนายกษิต ภิรมย์
ขณะที่แกนนำสำคัญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว และไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเมืองในประเทศไทย ประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวมีหรือจะไม่รู้
และด้วยเหตุผลประการละชะนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ “ทักษิณ” กล้าประกาศออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้
หากรัฐบาลและบรรดาท่านผู้มีอำนาจที่มีอาวุธอยู่ในมือทั้งหลาย ยังมั่นใจว่า “ทักษิณ” ไม่สามารถทำได้อย่างที่พูด ก็น่าจะนำกลับไปตรองดูอีกสักครั้งคงจะดีไม่น้อย
พรรคร่วมผนึกกำลังแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ณ เวลานี้เรื่องเด่นประเด็นร้อนคงหนีไม่พ้นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตลอดหลายวันมานี้บรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลต่างพร้อมใจกันออกมาทวงสัญญาจากพรรคประชาธิปัตย์กันเป็นทิวแถว
และหากจะมองย้อนกลับไปในอดีตช่วงที่มีการพลิกขั้วย้ายข้างทางการเมืองจนส่งผลให้ประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ เบื้องหลังการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กทั้ง 5 พรรค มีเงื่อนไขสำคัญอันหนึ่ง คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในครั้งนั้นแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ยอมรับในเงื่อนไขโดยดุษฏี จึงเป็นเหตุให้สามารถรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
แต่เมื่อได้เข้ามาเป็นรัฐบาลสมใจหลายๆ ฝ่าย มีการขยับจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น ตามแนวทางของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ ก็เกิดอาการยื้อจากคนในพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบกับพรรคเพื่อไทยไม่เข้าร่วมสังฆกรรมด้วย รวมทั้งพันธมิตรฯ ออกมาปรามเป็นระยะ ทำให้ประเด็นนี้ต้องชะงักไปชั่วคราว กระทั่งผ่านมา 1 ปีเศษ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ยังไม่คืบหน้าและยังคงเป็นปัญหาคอยตามรบกวนรัฐบาลทุกครั้งที่มีการนำประเด็นนี้ขึ้นมา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่โรงแรมสยามซิตี้ แกนนำชาติไทยพัฒนา นำโดย นายบรรหาร ศิลปอาชา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ และนายนิกร จำนง ได้นัดปรึกษาหารือกับแกนนำพรรคภูมิใจไทย มีนายเนวิน ชิดชอบ นายสรอรรถ กลิ่นประทุม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร เรื่องการแก้ รธน.
แว่วมาว่าใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก่อนที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เปิดแถลงข่าวร่วมกันว่าจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 94 ประเด็นที่มาของ ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และมาตรา 190 ประเด็นการทำหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
ตามกติกาของรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 291 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ว่า ส.ส.จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสภาฯ มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันมี ส.ส.ในสภาฯ 474 คน เสียง 1 ใน 5 ก็เท่ากับ 95 คน ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นพรรคขนาดกลางและขนาดเล็ก ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจ-ไทยชาติพัฒนา และพรรคกิจสังคม มี ส.ส.รวมกัน 103 คน ถือว่าเพียงพอ
แต่หลังจากพรรคร่วมขยับเรื่องนี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมกับเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนกว่า 14 ล้าน 7 แสนกว่าคนที่ได้ร่วมกันลงประชามติเห็นชอบให้ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ออกมาแสดงจุดยืน และกดดันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งของตัวเอง เพื่อยับยั้งและคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของนักการเมืองด้วยเหตุผล 3 ประเด็นสำคัญ คือ
1.คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือลดพระราชอำนาจและโครงสร้างที่เกี่ยวเนื่องกับของสถาบันพระมหากษัตริย์
2.คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับนักการเมืองและพวกพ้อง และ
3.คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมือง
ในแถลงการณ์ระบุว่า นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลมีความพยายามในการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 ประเด็น 7 มาตรา ได้แก่
ประเด็นแรก เรื่องระบบเลือกตั้งจากแบ่งเขตเรียงเบอร์เป็นเขตเดียวเบอร์เดียว และระบบบัญชีรายชื่อให้เป็นเหมือนในรัฐธรรมนูญ 2540 โดยจะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราที่เกี่ยวข้องได้แก่ มาตรา 93, 94, 95, 98, 103 และ 109
ประเด็นที่สอง การแก้ไขมาตรา 190 ว่าด้วยการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะเห็นว่าเป็นปัญหาของฝ่ายบริหาร
กลุ่มพันธมิตรฯ ให้เหตุผลว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ปรากฏเป็นข่าวครั้งนี้เป็นการแก้ไขเพื่อผลประโยชน์ต่อพรรคการเมืองและรัฐบาล ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและอาจมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสอดแทรกมาตราอื่นๆ เพื่อประโยชน์ของนักการเมืองเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงพระราชอำนาจและโครงสร้างของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อนำไปสู่การปกครองในรูปแบบอื่นในนาม "รัฐไทยใหม่" ในอนาคต เพราะเหตุนี้พันธมิตรฯ ขอยืนยันที่จะคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างถึงที่สุด
ท่ามกลางกระแสการคัดค้านของพันธมิตรฯ สวนดุสิตโพลได้ออกมาขานรับ ประชาชน 54.55 % เห็นด้วยให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ร้อยล่ะ 64.48 เชื่อการเมืองขัดแย้งไม่จบ
ด้านพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการจัดประชุมที่จังหวัดกระบี่ แต่ยังไร้ข้อสรุปเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมายอมรับว่า การแก้เขตเลือกตั้งเป็นข้อตกลงของพรรคร่วม ถ้าไม่แก้รัฐบาลก็คงอยู่ไม่ได้
ล่าสุดนายชวรัตน์ ชาญวีรกุล ได้ออกมายืนยันจะไม่เพิ่มประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ เชื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณไม่ได้ขู่ ส.ส.ประชาธิปัตย์เรื่องหากไม่แก้รัฐธรรมนูญตามข้อตกลงระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลก็เตรียมยุบสภาได้เลย
ประชาชนรอลุ้นมาหลายวันว่าพรรคประชาธิปัตย์จะทำเช่นไร ระหว่างยึดถือคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้กับบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล หรือจะตามใจพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ส่งสัญญาณออกมาชัดเจนว่าหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อไหร่ กลุ่มเสื้อเหลืองจะระดมพลออกมาประท้วงเมื่อนั้น
ล่าสุดเย็นวันที่ 26 มกราคม พรรคประชาธิปัตย์ได้มีมติออกมาแล้วว่า มติพรรคจะไม่ร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ได้ยินแบบนี้แล้วบรรดาแกนนำพรรคร่วมที่ได้รับคำมั่นสัญญาก่อนร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์จะทำอย่างไรต่อไป ประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ ก็ได้แต่รอดูว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะยอมตามใจ ฯพณฯ หรือครั้งนี้จะเป็นการลุกขึ้นมาทวงสัญญาอย่างจริงจัง โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ลาภ 1.9 หมื่นล้าน ใครจะได้รับ
กำลังเป็นเรื่องเด่นประเด็นร้อนสำหรับคดีอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ขายหุ้น "ชินคอร์ป" ธุรกิจของครอบครัว ให้กับ "เทมาเซค" ของสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2549 ด้วยวงเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง " นัดฟังคำพิพากษา "ชี้ขาด" ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 13.00 น.
เรื่องนี้ทนายความของอดีตนายก “ทักษิณ” มีข้อแย้งในประเด็น 3 คตส. คือ นายแก้วสรร อติโพธิ นายกล้านรงค์ จันทิก และ นายบรรเจิด สิงคเนติ เป็นปฏิปักษ์กับอดีตนายกฯ ทักษิณ ย่อมมีความเอนเอียงในการสอบสวนคดี แต่นั่นไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2510 ทีมทนายความอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกกล่าวหาในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากร่ำรวยผิดปกติ ได้ยื่นคำแถลงปิดคดีจำนวน 162 หน้า โดยระบุว่าข้อกล่าวหาของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) เลื่อนลอยไร้พยานหลักฐาน เป็นเพียงการตั้งข้อสันนิษฐาน คาดเดา และจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยไม่มีมูลความจริง ทั้งยังขัดแย้งกับเอกสารของทางราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังขัดแย้งกับคำเบิกความของพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกหน่วยงานอีกด้วย
กรณีการออกมาตรการที่ คตส. นำมาเป็นประเด็น ได้แก่
1. การแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพสามิต ด้วยการตรา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต
2. กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายให้ บมจ.ทีโอที จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรเติมเงิน ให้ บมจ.แอดวานซ์อินโฟร์เซอร์วิส (AIS) เป็นร้อยละ 20 ซึ่งจากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตราร้อยละ 25-30
3. กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 ปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม เอื้อประโยชน์ SHIN และ AIS โดยแก้ไขให้ AIS เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นที่มีผลให้ AIS ไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 18,970,579,711 บาท ให้กับ บมจ.ทีโอที และ บมจ. กสท โทรคมนาคม
4. กรณีอนุมัติโครงการยิงดาวเทียม IP STAR การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานลงวันที่ 27 ตุลาคม 2547 การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เอื้อประโยชน์ SHIN และ บมจ.ชินแซทเทิลไลท์
5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่า กู้เงินธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ เอ็กซิมแบงค์ จำนวน 4,000 ล้านบาทในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน และขยายเวลาปลอดการชำระหนี้จาก 2 เป็น 5 ปี เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่าจาก SATTEL นั้น
ทนายความชี้แจงได้มีการตรวจสอบแล้วว่ากรณีดังกล่าวไม่ได้ทำให้หุ้นของบมจ.ชินแซทเทิลไลท์ มีราคาสูงขึ้นผิดปกติแต่อย่างใด แต่ราคาหุ้นยังคงขึ้นลงไปทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในอัตราที่ใกล้เคียงกันกับบริษัทอื่นๆ ตลอดเวลา
ส่วนรายละเอียดหากมีผู้สงสัยติดตามได้จาก
http://shincase.googlepages.com/indictmentinvolvingonais
ประเด็นนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเบิกความสอดคล้องกันว่าการกระทำดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นจริงตามข้อกล่าวหาของ คตส. แต่อย่างใด
"คำแถลงปิดคดีของทนายความ อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยืนยันต่อศาลว่า หุ้นบริษัทเป็นของครอบครัวที่ได้มาจากการทำมาหากินโดยสุจริตด้วยน้ำพักน้ำแรงมาเป็นเวลาหลายสิบปีก่อนหน้า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้ามาทำงานทางการเมือง
นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ทนายความของอดีตนายก “ทักษิณ” ตั้งข้อสงสัยกรณีที่ คตส. ออกระเบียบว่าด้วยการให้สินบนผู้ชี้เบาะแสทั้งเปิดเผยตัวและไม่เปิดเผยตัว จะได้รับผลประโยชน์ 25% จากมูลค่าทรัพย์สิน ทั้งที่ประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 30 ที่เป็นคำสั่งแต่งตั้ง คตส.ไม่ได้ให้อำนาจในการออกระเบียบดังกล่าว
ประเด็นนี้ คตส. อ้างว่าเป็นการออกตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หากมีการยึดทรัพย์อดีตนายก “ทักษิณ” ทั้งหมด 7.6 หมื่นล้าน ตามที่มีข่าวออกมาหลายกระแสทั้งจากหน้าสื่อหลัก สื่อทางเลือก ว่าผู้ที่ได้รับสินบนจากเงินก้อนนี้มีมูลค่าสูงถึง 1.9 หมื่นล้านบาท
ด้านนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธาน คตส.และนายสัก กอแสงเรือง คณะกรรมการฯ ต่างออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า เรื่องนี้เป็นการกล่าวเท็จทั้งหมด โดยการพยายามบิดเบือนข้อมูลเพื่อนำมาสร้างเป็นประเด็นการเมือง เนื่องจากระเบียบของ คตส. เรื่องการให้รางวัลกับผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่อ คตส.ในช่วงเวลานั้นระบุชัดเจนว่า จะให้รางวัลแก่ผู้ที่แจ้งเบาะแสร้อยละ 25 แต่ให้ยกเว้นกับ คตส.ทั้งคณะ
ล่าสุดเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อไปอีกว่า หากคตส. ไม่ได้รับรางวัล 25 % ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปฎิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 น่าจะมีเอี่ยวในรางวัลจำนวนมหาศาลนี้
ประกอบกับเหตุผลการออกระเบียบดังกล่าวของ คตส. ก็ยากที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหาและเป็นธรรมดาที่จะมีผู้ตั้งข้อสงสัย ด้านทนายความ “ทักษิณ” ออกมาถามชัดเจนว่าสินบนยึดทรัพย์นี้ใครรับบ้าง?
คำถามนี้ได้แพร่กระจายไปตามหน้าสื่อต่างๆ อย่างรวดเร็ว และยังไม่มีผู้ที่เกี่ยวข้องในการยึดอำนาจ 19 กันยา ท่านใดออกมาปฏิเสธ จึงทำให้ประชาชนยิ่งเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้นไปอีก
ผู้เขียนได้ยินเสียงจากสภากาแฟพูดถึงสุภาษิตโบราณที่ว่า “กินที่ลับ คายในที่แจ้ง” แต่หากมีการ “ร่วมด้วยช่วยกันกินอย่างเป็นระบบ แล้วใครที่ไหนจะคายออกมา”
มติ ปชป. ไม่ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เย็นวันนี้ (26 มกราคม) ที่ประชุม ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์มีมติ 82 ต่อ 48 เห็นด้วยตามมติคณะกรรมการบริหารพรรคไม่ลงชื่อยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนการพิจารณาลงมติอาจมีทั้งงดออกเสียงและไม่เห็นด้วย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บอกมติ ส.ส. ภายในพรรค ค้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ เชื่อพรรคร่วมเข้าใจ และแน่ใจว่าจะไม่เกิดการสลับขั้ว
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีฝ่ายความมั่งคง ไม่ยอมตอบคำถามนักข่าวเรื่องรัฐบาลจะอยู่พ้นปี 2553 หรือไม่ แต่ยอมรับว่าทำงานต่อยาก
เป็นไปตามที่บรรดานักวิชาการต่างพากันออกมาฟังธง ว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน เนื่องจากได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเสียงฮึ่มๆ จากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกมาประกาศชัดเจนว่า “แก้ไขเมื่อไหร่เจอกัน”
คราวนี้บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลคงชัดเจนแล้วว่า คำสัญญาปากเปล่าที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ให้ไว้ กับคำขู่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประชาธิปัตย์ยึดมั่นสิ่งใดมากกว่ากัน
ความจริงเรื่องนี้ก็น่าเห็นใจพรรคประชาธิปัตย์ เพราะหากไม่ข้ามศพพันธมิตรฯ และผู้ที่ยอมเสียสละเหน็ดเหนื่อยกับการเข้าไปยึดสถานที่ราชการ ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ไม่มีนายกรัฐมนตรี ที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะให้พรรคประชาธิปัตย์เห็นบรรดาพรรคร่วมสำคัญกว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้อย่างไร
วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553
ประชา ส.ส.เพื่อไทย ปูดอาจปลดอนุพงษ์ตั้งประยุทธิ์
ผลจากข่าวลึกและลับมากที่หลุดออกมาจากแกนนำคนเสื้อแดง ตามมาด้วยนายประชา ประสพดี ส.ส. เพื่อไทย ออกมาเปิดเผยได้ข่าวว่าอาจมีการปลด พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา และตั้งพล.อ.ประยุทธิ์ จันทร์โอชา เป็น ผบ.ทบ. แทนเพื่อปูทางคุมกำลังทำรัฐประหารครั้งใหม่
ด้านนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ปลุกคนเสื้อแดงทั่วประเทศให้ช่วยกันเฝ้าระวังการทำรัฐประหารครั้งใหม่ พร้อมกับย้ำสัญญาใจว่า “ทันทีที่มีรัฐประหารพร้อมนำทีมคนเสื้อแดงทั่วประเทศต่อต้านเผด็จการ”
ก่อนหน้านั้นนายอริสมันต์ได้ออกมาแฉกลุ่มอำมาตย์ร่วมกันวางแผนสร้างสถานการณ์ระเบิดห้องทำงาน ผบ.ท.บ. บุกค้นอาวุธบ้าน เสธ.แดง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการจัดการ "แกนนำคนเสื้อแดง"
รัฐประหารรอบใหม่ เจอรัฐบาลพลัดถิ่น
วันนี้ตั้งแต่บ่ายมีกระแสข่าวลึกและลับมากออกมาจากฝ่ายแกนนำคนเสื้อแดงว่าจะมีการรัฐประหารรอบใหม่ ทำเอาบรรดาผู้รู้ข่าวหวาด ผวาไปตามๆ กัน ด้วยเกรงจะเป็นการซ้ำเติมประเทศชาติและประชาชนที่ถูกพิษเศรษฐกิจเล่นงานอย่างหนัก ตั้งแต่ ปี 2549 ที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ถูกยึดอำนาจโดย คมช.
และยิ่งช้ำหนักเข้าไปอีกหลังจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อปลายปี 2551 มาจนถึงต้นปี 2553 ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตามที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์โหมกระพือข่าว
ล่าสุดมีข่าวมาว่า "ทักษิณ" โฟนอินจากดูไบมาที่เขาสอยดาว อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ท่ามกลางกลุ่มคนเสื้อแดงนับหมื่นที่มาร่วมกันแสดงเจตนารมณ์ให้เห็นถึงกระบวนการสองมาตรฐาน ประกาศตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในต่างประเทศทันทีที่มีการปฏิวัติรัฐประหาร
"อริสมันต์" แฉ "มีชัย"ร่าง รธน. ชั่วคราวรอคำสั่ง
มีข่าวลึกและลับมากหลุดออกมาจากนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงว่าขณะนี้นายมีชัย ฤชุพันธ์ ได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ของคณะปฏิวัติรัฐประหารรอบใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอเพียงคำสั่งยึดอำนาจจากใครบางคน
พร้อมกันนี้ได้เรียกร้องให้คนเสื้อแดงผนึกกำลังร่วมกันต้าน หากข่าวลึกแต่ไม่ลับนี้มีมูล ป่านฉะนี้เชื่อว่าบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงในพื้นที่ต่างๆ คงเตรียมตัวพร้อมแล้ว ส่วนฟากรัฐบาลหรือผู้ที่กำลังเตรียมการล้มกระดานคงกำลังส่งคนไปประกบหรือตรวจตราความเคลื่อนไหวของผู้มีอำนาจสั่งการในพื้นที่ต่างจังหวัดในเร็วๆ นี้ หรือไม่อาจจะมีไปแล้ว
เรื่องแบบนี้ถามใครไม่ได้ นอกจากบรรดาพี่น้องประชาชนในแต่ละพื้นที่ช่วยเหลียวหน้าแลหลังหัวหน้าครอบครัวขนาดใหญ่ของท่าน ว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญไปมาหาสู่ หรือด้อมๆ มองๆ แถวบ้านหรือไม่ และถ้าหากมีควรจัดการเช่นไร?
เมื่อมีข่าวปูดออกมาเช่นนี้ สื่อต่างประเทศคงกำลังจับตามองชนิดไม่กระพริบ ว่าหากรัฐบาลคุมเกมไม่อยู่ จะเกิดอะไรดขึ้น แล้วยิ่งแกนนำคนเสื้อแดงออกมาปูดชนิดไม่เกรงกลัวใคร สื่อต่างชาติคงเอาไปขยายกันให้แซ่ด ว่าหากมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกครั้ง ยประเทศไทยคงต้องล้าหลังพม่า ลาว และกัมพูชา ไปอีกนับสิบปี ดีไม่ดีอาจถึงขั้นปิดประเทศ
แต่ที่แน่ๆ หากมีประชาชนออกมาต่อต้าน ทหาร-ตำรวจซึ่งเป็นลูกหลานพี่น้องชาวไร่ชาวนาจะหาญกล้าใช้อาวุธในมือประหัตประหารเพื่อนร่วมชาติ หรือบางทีอาจมีญาติพี่น้องของตนรวมอยู่ในคนกลุ่มนั้นด้วยหรือไม่
และเมื่อมีมูลเหตุมาว่าจะเป็นฉะนี้ ประชาชนคนไทยทั้งในและต่างแดนมีความคิดเห็นประการใด? ที่บรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลาย ผู้มีอาวุธอยู่ในมือ จะกระทำการพาประเทศชาติและลูกหลานของท่านถอยหลังลงคลอง ไม่ได้ลืมตาอ้าปากไปอีกนับสิบปี
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553
ทนาย "ทักษิณ" ชี้ คตส.ออกระเบียบเอื้อประโยชน์ตัวเอง
ทนายทักษิณชี้ คตส.ออกระเบียบเอื้อประโยชน์ตัวเอง,นามปัดข้อกล่าวหา
ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ออกระเบียบว่าด้วยการให้สินบนผู้ชี้เบาะแสฯ ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตัวเอง ขณะที่อดีตประธาน คตส.ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุเป็นการบิดเบือนข้อมูลเพื่อหวังผลทางการเมือง
"ป.ป.ช.ยังไม่เคยออกระเบียบในลักษณะนี้ซึ่งเป็นการขัดต่อกฎหมาย เพราะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง และเชื่อว่าการกระทำของ คตส.ทั้งคณะจงใจเป็นปฏิปักษ์ทั้งทางการเมืองและแนวคิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมุ่งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับโทษ" นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ทนายความของอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าว
โดยระเบียบดังกล่าวระบุว่า หากศาลชี้มูลความผิดและยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ผู้ชี้เบาะแสจะได้รับผลประโยชน์ 25% จากมูลค่าทรัพย์สิน ทั้งที่ประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) ฉบับที่ 30 ที่เป็นคำสั่งแต่งตั้ง คตส.ไม่ได้ให้อำนาจในการออกระเบียบดังกล่าว แต่ คตส. อ้างว่าเป็นการออกตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่ง คตส.จะได้รับสินบนจำนวน 1.9 หมื่นล้านบาท
ด้านนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธาน คตส.กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการกล่าวเท็จทั้งหมดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และทีมทนายความ โดยเป็นการพยายามบิดเบือนข้อมูลเพื่อนำมาสร้างเป็นประเด็นการเมืองสำหรับใช้ปลุกระดม เพราะระเบียบของ คตส.เรื่องการให้รางวัลกับผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่อ คตส.ในช่วงเวลานั้นระบุชัดเจนว่า จะให้รางวัลแก่ผู้ที่แจ้งเบาะแสร้อยละ 25 แต่ให้ยกเว้นกับ คตส.ทั้งคณะ
"พูดง่ายๆ ว่าเมื่อคดีถึงที่สุดในชั้นศาลแล้ว คตส.ทุกคนไม่มีส่วนร่วมที่จะได้รับแบ่งหรือได้ผลประโยชน์ใดๆ จากคดีที่ทำทุกคดี และในคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เองก็ไม่มีผู้มาให้ข้อมูลหรือร้องขอส่วนแบ่งใดๆ ทั้งสิ้น...หากยึดทรัพย์จริงทรัพย์ที่ถูกยึดก็จะตกเป็นของแผ่นดิน โดยไม่มีใครที่จะได้รับส่วนแบ่งตามที่ถูกกล่าวหา" นายนาม กล่าว
ทั้งนี้ อดีต คตส.ทั้งหมดจะร่วมประชุมหารือในเรื่องดังกล่าวช่วงเย็นวันนี้ แต่จะดำเนินคดีกับผู้กล่าวหาหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการหารือกัน ซึ่งหากอดีต คตส.ทุกคนเห็นพ้องต้องกันก็อาจจะฟ้องดำเนินคดี
คัดลอกมาจาก : อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม พฤหัวบดี 21 มกราคม 2510
ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ออกระเบียบว่าด้วยการให้สินบนผู้ชี้เบาะแสฯ ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตัวเอง ขณะที่อดีตประธาน คตส.ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุเป็นการบิดเบือนข้อมูลเพื่อหวังผลทางการเมือง
"ป.ป.ช.ยังไม่เคยออกระเบียบในลักษณะนี้ซึ่งเป็นการขัดต่อกฎหมาย เพราะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง และเชื่อว่าการกระทำของ คตส.ทั้งคณะจงใจเป็นปฏิปักษ์ทั้งทางการเมืองและแนวคิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมุ่งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับโทษ" นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ทนายความของอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าว
โดยระเบียบดังกล่าวระบุว่า หากศาลชี้มูลความผิดและยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ผู้ชี้เบาะแสจะได้รับผลประโยชน์ 25% จากมูลค่าทรัพย์สิน ทั้งที่ประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) ฉบับที่ 30 ที่เป็นคำสั่งแต่งตั้ง คตส.ไม่ได้ให้อำนาจในการออกระเบียบดังกล่าว แต่ คตส. อ้างว่าเป็นการออกตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่ง คตส.จะได้รับสินบนจำนวน 1.9 หมื่นล้านบาท
ด้านนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธาน คตส.กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการกล่าวเท็จทั้งหมดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และทีมทนายความ โดยเป็นการพยายามบิดเบือนข้อมูลเพื่อนำมาสร้างเป็นประเด็นการเมืองสำหรับใช้ปลุกระดม เพราะระเบียบของ คตส.เรื่องการให้รางวัลกับผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่อ คตส.ในช่วงเวลานั้นระบุชัดเจนว่า จะให้รางวัลแก่ผู้ที่แจ้งเบาะแสร้อยละ 25 แต่ให้ยกเว้นกับ คตส.ทั้งคณะ
"พูดง่ายๆ ว่าเมื่อคดีถึงที่สุดในชั้นศาลแล้ว คตส.ทุกคนไม่มีส่วนร่วมที่จะได้รับแบ่งหรือได้ผลประโยชน์ใดๆ จากคดีที่ทำทุกคดี และในคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เองก็ไม่มีผู้มาให้ข้อมูลหรือร้องขอส่วนแบ่งใดๆ ทั้งสิ้น...หากยึดทรัพย์จริงทรัพย์ที่ถูกยึดก็จะตกเป็นของแผ่นดิน โดยไม่มีใครที่จะได้รับส่วนแบ่งตามที่ถูกกล่าวหา" นายนาม กล่าว
ทั้งนี้ อดีต คตส.ทั้งหมดจะร่วมประชุมหารือในเรื่องดังกล่าวช่วงเย็นวันนี้ แต่จะดำเนินคดีกับผู้กล่าวหาหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการหารือกัน ซึ่งหากอดีต คตส.ทุกคนเห็นพ้องต้องกันก็อาจจะฟ้องดำเนินคดี
คัดลอกมาจาก : อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม พฤหัวบดี 21 มกราคม 2510
"ทักษิณ" ส่งทนายยื่นคำแถลงปิดคดียึดทรัพย์
ทักษิณส่งทนายยื่นคำแถลงปิดคดียึดทรัพย์ฯ ระบุข้อกล่าวหา คตส.เลื่อนลอย
ทีมทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหาในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากร่ำรวยผิดปกติ ได้ยื่นคำแถลงปิดคดีตามคำสั่งศาลฎีกาฯ โดยระบุข้อกล่าวหาของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) เลื่อนลอย
สำหรับคำแถลงปิดคดีของอดีตนายกรัฐมนตรีมีความยาว 162 หน้า โดยสรุปได้ว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดของ คตส.เป็นพียงการสันนิษฐาน คาดเดา และการจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยไม่มีมูลความจริง ปราศจากหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าว และขัดแย้งกับเอกสารทั้งหมดของราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขัดแย้งคำเบิกความของพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐทุกหน่วยงาน
"ไม่มีเหตุที่จะฟังว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาให้บุตรและญาติพี่น้องถือหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น(SHIN) ไว้แทนโดยไม่เชื่อว่ามีการซื้อขายหุ้นจริง แต่ปรากฏข้อเท็จจริงชัดแจ้งจากทั้งพยานบุคคลและเอกสาร ตลอดจนพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดจำนวน 69,722,880,932.05 บาท และเงินปันผลอีกจำนวน 6,898,722,129 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 76,621,603,061.05 บาท เป็นของผู้ที่รับโอนหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส ไม่ใช่เงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส จึงไม่ใช่เงินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ อัยการสูงสุดซึ่งเป็นผู้ร้องคดีนี้จึงไม่มีสิทธินำมาร้องขอให้เงินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน" คำแถลงปิดคดี ระบุ
ที่สำคัญข้อเท็จจริงยุติจากการไต่สวนแล้วว่า การออกมาตรการต่างๆ ทั้ง 5 ข้อ ได้แก่
1.การแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพสามิต ด้วยการตรา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต
2.กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่(Cellular Mobile Telephone) เมื่อวันที่ 15 พ.ค.44 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายให้ บมจ.ทีโอที จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรเติมเงิน(Prepaid Card) ให้ บมจ.แอดวานซ์อินโฟร์เซอร์วิส(ADVANC) หรือ AIS เป็นร้อยละ 20 จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตราร้อยละ 25-30
3.กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่เมื่อวันที่ 20 ก.ย.45 ปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม( Roaming) เอื้อประโยชน์ SHIN และ AIS โดยแก้ไขให้ AIS เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นที่มีผลให้ AIS ไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 18,970,579,711 บาท ให้กับ บมจ.ทีโอที และ บมจ. กสท โทรคมนาคม
4. กรณีอนุมัติโครงการยิงดาวเทียม IP STAR การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานลงวันที่ 27 ต.ค.47 การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เอื้อประโยชน์ SHIN และ บมจ.ชินแซทเทิลไลท์(SATTEL)
และ 5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่า กู้เงินธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ เอ็กซิมแบงค์ จำนวน 4,000บาทในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน และขยายเวลาปลอดการชำระหนี้จาก 2 เป็น 5 ปี เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่าจาก SATTEL ไม่ได้ทำให้หุ้น SHIN มีราคาสูงขึ้นผิดปกติ แต่ราคาหุ้นขึ้นลงไปทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในอัตราที่ใก้ลเคียงกันตลอดเวลา
"เงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ หรือได้ทรัพย์มาโดยไม่สมควรตามข้อกล่าว คำร้องดังกล่าวจึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เข้าองค์ประกอบและหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งมาตรการ 5 ข้อนั้นพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเบิกความสอดคล้องกันว่าเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ไม่มีความเสียหายตามข้อกล่าวหาของ คตส.เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด โดยข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลแล้วว่า หุ้นบริษัทในคดีนี้เป็นของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาที่ได้มาจากการทำมาหากินโดยสุจริตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองเป็นเวลาหลายสิบปีก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าทำงานทางการเมือง และการขายหุ้นนั้นไม่ใช่เงินที่ได้มาโดยการทุจริต คดโกงประเทศชาติ หรือเบียดบังจากงบประมาณแผ่นดินหรือเงินอื่นใดของรัฐแม้แต่บาทเดียว" คำแถลงปิดคดี ระบุ
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุด้วยว่า ช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่เคยทุจริตใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย และไม่เคยแม้แต่จะคิดทำการใดเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ยิ่งไปกว่าประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน การที่ถูกปฏิวัติรัฐประหารและตั้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ เป็นเรื่องทางการเมืองทั้งสิ้น เมื่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ปรากฏต่อศาลว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำผิด จึงขอให้ศาลโปรดมีคำพิพากาษายกคำร้องของอัยการสูงสุด และมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดเงินและทรัพย์สินทั้งหมดที่ คตส. ได้มีคำสั่งอายัดไว้ในคดีนี้ให้ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านอื่นที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงด้วย
นอกจากคำแถลงปิดคดีแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังตั้งข้อสังเกตว่า การออกคำสั่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนและการตั้งข้อกล่าวหาคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมติ คตส. ให้อำนาจเพียงเป็นการแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดทางกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตนเองหรือพวกพ้อง ซึ่งเป็นความผิดอาญาและการเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดทางแพ่ง ไม่เกี่ยวกับการร่ำรวยผิดปกติหรือได้ทรัพย์สินมา โดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 รวมทั้งการตั้งข้อสังเกตว่า กระบวนการไต่สวนของ คตส. และอนุกรรมการไต่สวนฯ ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติกฎหมาย รวบรัดชี้มูลความผิดก่อนที่กระบวนการพิสูจน์ทรัพย์จะเสร็จสิ้นและอัยการสูงสุดไม่มีอำนาจยื่นคำร้อง รวมทั้งประเด็นที่นายกล้านรงค์ จันทิก, นายแก้วสรร อติโพธิ, นายบรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการ คตส. และอนุกรรมการไต่สวนฯ เป็นบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์กับผู้ถูกกล่าวหา
นายฉัตรทิพย์ ตัณฑ์ประศาสน์ ทนายความของอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในชั้นไต่สวน ทำให้เรายังมั่นใจ 100% และยืนยันว่าทรัพย์สินที่ร้องในคดีได้มาโดยสุจริต ส่วนกรณีที่มีข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ มีทรัพย์ซุกซ่อนในต่างประเทศ และมีส่วนหนึ่งที่ถูกยึดอายัดไว้ในประเทศอังกฤษนั้นไม่เป็นความจริง เป็นการสร้างข่าวเพื่อหวังทำลายภาพพจน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ยังมีทรัพย์สินซุกซ่อนไว้ตามที่ต่างๆ อีก
ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯ ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ เวลา 13.00 น.
คัดลอกมาจาก:อินโฟเควสท์ พฤหัสบดี 21 มกราคม 2510
ทีมทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหาในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากร่ำรวยผิดปกติ ได้ยื่นคำแถลงปิดคดีตามคำสั่งศาลฎีกาฯ โดยระบุข้อกล่าวหาของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) เลื่อนลอย
สำหรับคำแถลงปิดคดีของอดีตนายกรัฐมนตรีมีความยาว 162 หน้า โดยสรุปได้ว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดของ คตส.เป็นพียงการสันนิษฐาน คาดเดา และการจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยไม่มีมูลความจริง ปราศจากหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าว และขัดแย้งกับเอกสารทั้งหมดของราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขัดแย้งคำเบิกความของพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐทุกหน่วยงาน
"ไม่มีเหตุที่จะฟังว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาให้บุตรและญาติพี่น้องถือหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น(SHIN) ไว้แทนโดยไม่เชื่อว่ามีการซื้อขายหุ้นจริง แต่ปรากฏข้อเท็จจริงชัดแจ้งจากทั้งพยานบุคคลและเอกสาร ตลอดจนพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดจำนวน 69,722,880,932.05 บาท และเงินปันผลอีกจำนวน 6,898,722,129 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 76,621,603,061.05 บาท เป็นของผู้ที่รับโอนหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส ไม่ใช่เงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส จึงไม่ใช่เงินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ อัยการสูงสุดซึ่งเป็นผู้ร้องคดีนี้จึงไม่มีสิทธินำมาร้องขอให้เงินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน" คำแถลงปิดคดี ระบุ
ที่สำคัญข้อเท็จจริงยุติจากการไต่สวนแล้วว่า การออกมาตรการต่างๆ ทั้ง 5 ข้อ ได้แก่
1.การแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพสามิต ด้วยการตรา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต
2.กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่(Cellular Mobile Telephone) เมื่อวันที่ 15 พ.ค.44 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายให้ บมจ.ทีโอที จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรเติมเงิน(Prepaid Card) ให้ บมจ.แอดวานซ์อินโฟร์เซอร์วิส(ADVANC) หรือ AIS เป็นร้อยละ 20 จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตราร้อยละ 25-30
3.กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่เมื่อวันที่ 20 ก.ย.45 ปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม( Roaming) เอื้อประโยชน์ SHIN และ AIS โดยแก้ไขให้ AIS เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นที่มีผลให้ AIS ไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 18,970,579,711 บาท ให้กับ บมจ.ทีโอที และ บมจ. กสท โทรคมนาคม
4. กรณีอนุมัติโครงการยิงดาวเทียม IP STAR การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานลงวันที่ 27 ต.ค.47 การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เอื้อประโยชน์ SHIN และ บมจ.ชินแซทเทิลไลท์(SATTEL)
และ 5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่า กู้เงินธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ เอ็กซิมแบงค์ จำนวน 4,000บาทในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน และขยายเวลาปลอดการชำระหนี้จาก 2 เป็น 5 ปี เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่าจาก SATTEL ไม่ได้ทำให้หุ้น SHIN มีราคาสูงขึ้นผิดปกติ แต่ราคาหุ้นขึ้นลงไปทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในอัตราที่ใก้ลเคียงกันตลอดเวลา
"เงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ หรือได้ทรัพย์มาโดยไม่สมควรตามข้อกล่าว คำร้องดังกล่าวจึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เข้าองค์ประกอบและหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งมาตรการ 5 ข้อนั้นพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเบิกความสอดคล้องกันว่าเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ไม่มีความเสียหายตามข้อกล่าวหาของ คตส.เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด โดยข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลแล้วว่า หุ้นบริษัทในคดีนี้เป็นของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาที่ได้มาจากการทำมาหากินโดยสุจริตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองเป็นเวลาหลายสิบปีก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าทำงานทางการเมือง และการขายหุ้นนั้นไม่ใช่เงินที่ได้มาโดยการทุจริต คดโกงประเทศชาติ หรือเบียดบังจากงบประมาณแผ่นดินหรือเงินอื่นใดของรัฐแม้แต่บาทเดียว" คำแถลงปิดคดี ระบุ
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุด้วยว่า ช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่เคยทุจริตใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย และไม่เคยแม้แต่จะคิดทำการใดเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ยิ่งไปกว่าประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน การที่ถูกปฏิวัติรัฐประหารและตั้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ เป็นเรื่องทางการเมืองทั้งสิ้น เมื่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ปรากฏต่อศาลว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำผิด จึงขอให้ศาลโปรดมีคำพิพากาษายกคำร้องของอัยการสูงสุด และมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดเงินและทรัพย์สินทั้งหมดที่ คตส. ได้มีคำสั่งอายัดไว้ในคดีนี้ให้ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านอื่นที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงด้วย
นอกจากคำแถลงปิดคดีแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังตั้งข้อสังเกตว่า การออกคำสั่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนและการตั้งข้อกล่าวหาคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมติ คตส. ให้อำนาจเพียงเป็นการแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดทางกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตนเองหรือพวกพ้อง ซึ่งเป็นความผิดอาญาและการเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดทางแพ่ง ไม่เกี่ยวกับการร่ำรวยผิดปกติหรือได้ทรัพย์สินมา โดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 รวมทั้งการตั้งข้อสังเกตว่า กระบวนการไต่สวนของ คตส. และอนุกรรมการไต่สวนฯ ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติกฎหมาย รวบรัดชี้มูลความผิดก่อนที่กระบวนการพิสูจน์ทรัพย์จะเสร็จสิ้นและอัยการสูงสุดไม่มีอำนาจยื่นคำร้อง รวมทั้งประเด็นที่นายกล้านรงค์ จันทิก, นายแก้วสรร อติโพธิ, นายบรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการ คตส. และอนุกรรมการไต่สวนฯ เป็นบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์กับผู้ถูกกล่าวหา
นายฉัตรทิพย์ ตัณฑ์ประศาสน์ ทนายความของอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในชั้นไต่สวน ทำให้เรายังมั่นใจ 100% และยืนยันว่าทรัพย์สินที่ร้องในคดีได้มาโดยสุจริต ส่วนกรณีที่มีข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ มีทรัพย์ซุกซ่อนในต่างประเทศ และมีส่วนหนึ่งที่ถูกยึดอายัดไว้ในประเทศอังกฤษนั้นไม่เป็นความจริง เป็นการสร้างข่าวเพื่อหวังทำลายภาพพจน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ยังมีทรัพย์สินซุกซ่อนไว้ตามที่ต่างๆ อีก
ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯ ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ เวลา 13.00 น.
คัดลอกมาจาก:อินโฟเควสท์ พฤหัสบดี 21 มกราคม 2510
วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553
3 เหตุผลชุมนุมเหลว กับ 4 คำถามที่เสื้อแดงต้องตอบ
นำข่าวมาฝาก อยากให้ท่านผู้รู้และผู้มีอำนาจ ลองนำมาประมวลความคิดเห็นหลายๆ ฝ่าย
สิ่งที่ผู้วิเคราะห์อาจไม่ถูกต้อง มองคนเสื้อแดงด้วยสายตาของคนหัวเก่า แต่ควรจะรู้เอาไว้
เสียงข่มขู่ "ปิดเกม" อย่างแข็งกร้าวแทบไม่เว้นแต่ละวัน จากแกนนำคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงผสานกับคำทำนายของโหรสำนักต่างๆ ว่า ปีนี้จะมีเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นนองเลือด ช่างสอดรับกับสถานการณ์บ้านเมืองที่อึมครึม เผชิญหน้ากันแบบใกล้ปะทะมาหลายปี...
ทั้งหมดทำให้สังคมไทยหวาดผวาว่าปีนี้ จะกลายเป็นปี "เสือดุ" ที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศอาจตกเป็นเหยื่อถูกขย้ำ!
แต่ในสายตาของ "นักการข่าว" ระดับหัวกะทิอย่าง พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ซึ่งยังมอนิเตอร์สถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด กลับประเมินสวนทางกับบรรดาโหราจารย์ทั้งมวล
เริ่มตั้งแต่การนัดชุมนุมบุกเขายายเที่ยง จ.นครราชสีมา วันที่ 11 มกราคมนี้ เพื่อประจานความสองมาตรฐานของประเทศไทย จากปัญหาการครอบครองที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างบนเขาลูกงามของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี พล.ท.นันทเดช ก็มองว่า เป็นเพียงการชุมนุมคั่นเวลาเท่านั้น
"แนวคิดการบุกเขายายเที่ยงมาจากการจัดงานปีใหม่ของกลุ่มคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดง ที่ จ.เชียงใหม่ แล้วมีคนมาร่วมงานน้อยอย่างผิดคาด ประกอบกับที่ผ่านมา มีความขัดแย้งทางความคิดของกลุ่มแกนนำทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ทำให้แผนบุกเขายายเที่ยงถูกกำหนดขึ้น เพื่อชะลอการชุมนุมในกรุงเทพฯ ออกไปก่อน"
ด้วยเหตุนี้ พล.ท.นันทเดช จึงกล้าฟันธงว่า ปฏิบัติการบุกเขายายเที่ยงจะ "ไม่มีอะไรในกอไผ่"
"การบุกเขายายเที่ยงจะไม่มีเหตุรุนแรงอะไร เพราะเงื่อนไขหมดไปแล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ มีเจตนาจะคืนที่ดินผืนนี้ โดยพูดกับคนใกล้ชิดตั้งแต่เมื่อตอนเข้าอวยพรปีใหม่ เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนที่เสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงจะประกาศเสียอีก เพียงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ อยากรอให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายเพื่อความชัดเจน ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องสองมาตรฐาน จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดี เข้าใจว่าเป็นการบุกรุกใหม่ และครอบครองที่ดินเกิน 14 ไร่"
อดีตนายทหารผู้เชี่ยวชาญงานข่าวกรอง ยังเสนอว่าเมื่อถึงวันชุมนุม รัฐบาลก็ปล่อยให้เสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงชุมนุมไป เพียงแต่ป้องกันไม่ให้เข้าไปทำลายบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวบ้าน และดูแลให้ชาวบ้านไม่ให้ปะทะกับกลุ่มเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดง เท่านี้ก็จะจบ
"สถิติการชุมนุมทุกครั้งอยู่ในระดับหมื่นกว่าคน ครั้งนี้ก็ไม่น่าจะเกิน 3 หมื่นคน ถ้าจำนวนผู้ชุมนุมระดับนี้ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้หรอก สิ่งสำคัญ คือ รัฐบาลเริ่มทำงานประสานกันได้ดีขึ้นกับตำรวจ ทหาร เห็นได้จากความสำเร็จในช่วงเทศกาลปีใหม่ มีการจัดวางกำลังเป็นเครือข่ายเอาไว้อย่างสลับซับซ้อน จนแทบไม่มีช่องว่างให้ก่อวินาศกรรมได้เลย"
ส่วนคำทำนายของโหรชื่อดังว่าประเทศจะเกิดความรุนแรงนั้น พล.ท.นันทเดช ฟันธงทันทีว่า เป็นไปไม่ได้
"คำทำนายของโหรก็นำมาจากคำประกาศของกลุ่มเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดง จากนั้นเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงก็เอาคำพูดของโหรมาขยายผลปลุกระดมอีกที ทั้งๆ ที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะมีคนมาชุมนุมเรือนแสนหรือเรือนล้าน เวลานี้ระดมได้ 3-4 หมื่นคนก็เก่งแล้ว"
เมื่อเรียกคนมาชุมนุมไม่ได้ตามเป้า ก็ต้องใช้วิธีการเกณฑ์ แต่นั่นก็จะกลายเป็นจุดอ่อนตามมาอีก
"ตอนนี้มีข่าวว่าใช้รถจังหวัดละ 10 คันขนคนมาชุมนุม แต่คนที่มาจากการเกณฑ์มักไม่มีจิตใจต่อสู้รุกรบ หรือชุมนุมยืดเยื้อได้เกิน 7 วัน อย่างดีก็แค่ 2 วันที่มีความหนาแน่น จากนั้นก็จะค่อยๆ หายไป"
แต่สิ่งที่น่าหวั่นใจ ก็คือ เมื่อรู้ทั้งรู้ว่าชุมนุมโดยสงบกดดันไม่ได้ ก็อาจจะมีความพยายามหยิบความรุนแรงมาใช้
"เหตุการณ์คล้ายๆ กับช่วงสงกรานต์เมื่อปีที่แล้วอาจจะย้อนกลับมา ซึ่งผู้ชุมนุมที่เป็นคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ แต่คุณทักษิณมีไพ่ในมือหลายใบ เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะใช้ไพ่ใบไหน"
"เครือข่ายการเคลื่อนไหวของคุณทักษิณมีทั้งกลุ่มทหาร มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และแท็กซี่ ซึ่งทั้งหมดมีการจัดตั้งเอาไว้แล้วทั้งสิ้น เวลาจัดชุมนุมขับไล่รัฐบาล กลุ่มที่มีการจัดตั้งพวกนี้ก็ต้องเคลื่อนไหวอะไรสักอย่าง คงไม่อยู่เฉย ประกอบกับขบวนการเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงแยกกันเป็นหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีเจ้านายของตัวเอง แต่คุณทักษิณมีสายสัมพันธ์กับทุกกลุ่ม"
"จะเห็นว่าคุณจักรภพ (นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) กับกลุ่มคุณวีระ (นายวีระ มุสิกพงศ์ กลุ่มสามเกลอ) ขัดแย้งกันถึงขนาดโต้กันผ่านสื่อสีแดงเอง แต่คุณจักรภพก็ไปปรากฏตัวข้างคุณทักษิณได้ แสดงว่าคุณทักษิณเก็บทุกคนไว้ เพื่อเลือกใช้ในแต่ละสถานการณ์" พล.ท.นันทเดชระบุ
อย่างไรก็ดี จังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเคลื่อนไหว คือ ช่วงที่ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
"แนวโน้มการชุมนุมน่าจะพร้อมๆ กับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้สอดรับกัน แล้วพยายามทำให้มีสถานการณ์อื่นๆ เสริม อาทิเช่น กลุ่มเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงอาจจะมาล้อมสภา เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้มากขึ้น"
แต่ถึงที่สุดแล้ว พล.ท.นันทเดช บอกว่า หากรัฐบาลไม่พลาดเรื่องการใช้ความรุนแรง ก็น่าจะประคองสถานการณ์ผ่านไปได้ เพราะสูตรการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ของกลุ่มคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงน่าจะไม่ได้ผลด้วยเหตุผล 3 ประการ กล่าวคือ 1. จำนวนผู้ชุมนุมไม่ถึงเป้าที่จะสร้างแรงกดดันกับรัฐบาลได้ 2. กระแสสังคมเริ่มปฏิเสธเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดง และ 3. ข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นข้อมูลเก่า และมีโอกาสสูงที่จะถูกพรรคประชาธิปัตย์ย้อนศร
เหตุผลที่นำมาสู่บทสรุปนี้ คือ คำถามที่คนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงตอบไม่ได้ 3-4 ข้อ คือ 1. ทำไมจึงไปสนับสนุนกัมพูชา ทั้งๆ ที่กัมพูชากระทำไม่ดีต่อไทยหลายๆ เรื่อง 2. การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงไม่มีความชัดเจนเรื่องสถาบัน 3. เวทีเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงมีลักษณะฝ่าฝืนประเพณีไทย โดยเฉพาะเรื่องการเคารพผู้ใหญ่ ซึ่งมีการแสดงออกที่ก้าวร้าวมาก และ 4. บนเวทีเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้มีแต่ความสับสน
ทั้งหมดนี้ พล.ท.นันทเดช ชี้ว่า ทำให้ประชาชนที่สมัครใจเข้าร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงเริ่มถอยห่างออกไป และไม่น่าจะมีพลังถึงขั้นล้มรัฐบาลได้ในที่สุด
ส่วนเงินก้อนโต 7.6 หมื่นล้านบาทของครอบครัวชินวัตรที่ถูกอายัดไว้ และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีคำพิพากษาในเวลาไม่นานนี้ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าคำพิพากษาจะเป็นตัวบ่งชี้สถานการณ์ในอนาคตนั้น แต่ พล.ท.นันทเดช มองต่างออกไป
"จริงๆ เงินก้อนนี้ถูกยึดมานานพอสมควรแล้ว แต่คุณทักษิณก็ยังเคลื่อนไหวได้ตลอด แสดงว่าการยึดหรือไม่ยึดเงินก้อนนี้แทบไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหว ทั้งที่ผ่านมาและในอนาคต แต่อาจมีผลเพียงว่าคุณทักษิณต้องพิจารณาใช้เงินที่เหลืออยู่อย่างรอบคอบมากขึ้นเท่านั้น"
ทั้งหมดที่วิเคราะห์มา ทำให้ พล.ท.นันทเดช สรุปว่า หากยังเคลื่อนไหวในแนวทางนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่มีทางชนะ และนั่นก็เป็นเพราะอดีตนายกฯ รับข้อมูลไม่สมบูรณ์
"คุณทักษิณเป็นคนฉลาด ถ้าได้ข้อมูลจริงที่ครบถ้วนสมบูรณ์ จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง แต่ตอนนี้คุณทักษิณอยู่ห่างไกลเหตุการณ์มาก และยังถูกคนใกล้ชิดเป่าหู ทำให้เลือกใช้วิธีการที่ผิด ถ้าคุณทักษิณรู้สถานการณ์จริง จะทราบทันทีว่าหนทางการต่อสู้ในสภาอย่างเดียว จะทำให้คุณทักษิณได้รับชัยชนะ และพรรคประชาธิปัตย์จะต้องเจอศึกหนัก ภาพของคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงที่เคยสร้างความเสียหายให้กับพรรคเพื่อไทยก็จะหมดไป และพรรคเพื่อไทยก็จะได้รับการยอมรับจากประชาชนมากขึ้น"
"ตลอดมาคุณทักษิณได้ข้อมูลไม่สมบูรณ์ คุณทักษิณไม่โง่ถึงขนาดเคลื่อนไหวซี้ซั้วแบบนี้ จริงๆ หลายคนในกลุ่มบ้านเลขที่ 111 ก็มองออก แต่อาจจะไม่สามารถฝ่ากระแสเข้าไปเตือนคุณทักษิณได้ ฉะนั้นในความเห็นของผม ถ้าพรรคเพื่อไทยเดินทางสภาอย่างเดียว จะเป็นพรรคที่เข้มแข็ง และมีโอกาสสูงที่จะได้รับการยอมรับจากประชาชน แต่พรรคเพื่อไทยเสียโอกาสที่ไม่เล่นทางสภา และความเคลื่อนไหวของเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดง ก็ทำให้รัฐบาลมั่นคงขึ้นทางอ้อม"
พล.ท.นันทเดช ยังเชื่อว่า หากการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญทั้งในและนอกสภาของคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ไม่สำเร็จ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะเปลี่ยนยุทธวิธี
"ผมคิดว่าคุณทักษิณจะดวงตาเห็นธรรม และหันมาเคลื่อนไหวทางสภาอย่างเดียว ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ประชาธิปัตย์จะหนาว เพราะคุณทักษิณใช้สื่อเก่ง และระบบการแข่งขันเรื่องการหาเสียงหรือการครองความนิยมในหมู่ประชาชนก็เหนือกว่าประชาธิปัตย์หลายขุม ที่บอกว่าประชาธิปัตย์เป็นเซียนการเมืองในสภานั้น นั่นเป็นเรื่องเมื่อ 10 กว่าปีก่อน"
"ถ้าคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยทำได้ ประเทศจะได้ประโยชน์ไปด้วย เพราะพรรคเพื่อไทยจะควบคุมรัฐบาลไม่ให้ทุจริต งบประมาณก็จะลงไปถึงประชาชนได้มากขึ้น เศรษฐกิจก็จะยิ่งฟื้นตัว เป็นประโยชน์มหาศาล คุณทักษิณก็จะกลายเป็นวีรบุรุษ เหมือนองคุลิมาลวางดาบ และพรรคเพื่อไทยก็จะได้คะแนนจากประชาชน"
ถือเป็นทางออกแบบสมานฉันท์ โดยใช้สถานการณ์เป็นตัวกำหนดเกม!
คัดลอกมาจาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ผู้เขียนอยากจะวิเคราะห์เหมือนกัน แต่เสียดาย 1 สัปดาห์จากนี้มีเรื่องด่วนต้องจัดการ รบกวนใครเข้ามาอ่าน ลองติดตามดู
สิ่งที่ผู้วิเคราะห์อาจไม่ถูกต้อง มองคนเสื้อแดงด้วยสายตาของคนหัวเก่า แต่ควรจะรู้เอาไว้
เสียงข่มขู่ "ปิดเกม" อย่างแข็งกร้าวแทบไม่เว้นแต่ละวัน จากแกนนำคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงผสานกับคำทำนายของโหรสำนักต่างๆ ว่า ปีนี้จะมีเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นนองเลือด ช่างสอดรับกับสถานการณ์บ้านเมืองที่อึมครึม เผชิญหน้ากันแบบใกล้ปะทะมาหลายปี...
ทั้งหมดทำให้สังคมไทยหวาดผวาว่าปีนี้ จะกลายเป็นปี "เสือดุ" ที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศอาจตกเป็นเหยื่อถูกขย้ำ!
แต่ในสายตาของ "นักการข่าว" ระดับหัวกะทิอย่าง พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ซึ่งยังมอนิเตอร์สถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด กลับประเมินสวนทางกับบรรดาโหราจารย์ทั้งมวล
เริ่มตั้งแต่การนัดชุมนุมบุกเขายายเที่ยง จ.นครราชสีมา วันที่ 11 มกราคมนี้ เพื่อประจานความสองมาตรฐานของประเทศไทย จากปัญหาการครอบครองที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างบนเขาลูกงามของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี พล.ท.นันทเดช ก็มองว่า เป็นเพียงการชุมนุมคั่นเวลาเท่านั้น
"แนวคิดการบุกเขายายเที่ยงมาจากการจัดงานปีใหม่ของกลุ่มคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดง ที่ จ.เชียงใหม่ แล้วมีคนมาร่วมงานน้อยอย่างผิดคาด ประกอบกับที่ผ่านมา มีความขัดแย้งทางความคิดของกลุ่มแกนนำทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ทำให้แผนบุกเขายายเที่ยงถูกกำหนดขึ้น เพื่อชะลอการชุมนุมในกรุงเทพฯ ออกไปก่อน"
ด้วยเหตุนี้ พล.ท.นันทเดช จึงกล้าฟันธงว่า ปฏิบัติการบุกเขายายเที่ยงจะ "ไม่มีอะไรในกอไผ่"
"การบุกเขายายเที่ยงจะไม่มีเหตุรุนแรงอะไร เพราะเงื่อนไขหมดไปแล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ มีเจตนาจะคืนที่ดินผืนนี้ โดยพูดกับคนใกล้ชิดตั้งแต่เมื่อตอนเข้าอวยพรปีใหม่ เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนที่เสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงจะประกาศเสียอีก เพียงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ อยากรอให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายเพื่อความชัดเจน ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องสองมาตรฐาน จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดี เข้าใจว่าเป็นการบุกรุกใหม่ และครอบครองที่ดินเกิน 14 ไร่"
อดีตนายทหารผู้เชี่ยวชาญงานข่าวกรอง ยังเสนอว่าเมื่อถึงวันชุมนุม รัฐบาลก็ปล่อยให้เสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงชุมนุมไป เพียงแต่ป้องกันไม่ให้เข้าไปทำลายบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวบ้าน และดูแลให้ชาวบ้านไม่ให้ปะทะกับกลุ่มเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดง เท่านี้ก็จะจบ
"สถิติการชุมนุมทุกครั้งอยู่ในระดับหมื่นกว่าคน ครั้งนี้ก็ไม่น่าจะเกิน 3 หมื่นคน ถ้าจำนวนผู้ชุมนุมระดับนี้ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้หรอก สิ่งสำคัญ คือ รัฐบาลเริ่มทำงานประสานกันได้ดีขึ้นกับตำรวจ ทหาร เห็นได้จากความสำเร็จในช่วงเทศกาลปีใหม่ มีการจัดวางกำลังเป็นเครือข่ายเอาไว้อย่างสลับซับซ้อน จนแทบไม่มีช่องว่างให้ก่อวินาศกรรมได้เลย"
ส่วนคำทำนายของโหรชื่อดังว่าประเทศจะเกิดความรุนแรงนั้น พล.ท.นันทเดช ฟันธงทันทีว่า เป็นไปไม่ได้
"คำทำนายของโหรก็นำมาจากคำประกาศของกลุ่มเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดง จากนั้นเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงก็เอาคำพูดของโหรมาขยายผลปลุกระดมอีกที ทั้งๆ ที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะมีคนมาชุมนุมเรือนแสนหรือเรือนล้าน เวลานี้ระดมได้ 3-4 หมื่นคนก็เก่งแล้ว"
เมื่อเรียกคนมาชุมนุมไม่ได้ตามเป้า ก็ต้องใช้วิธีการเกณฑ์ แต่นั่นก็จะกลายเป็นจุดอ่อนตามมาอีก
"ตอนนี้มีข่าวว่าใช้รถจังหวัดละ 10 คันขนคนมาชุมนุม แต่คนที่มาจากการเกณฑ์มักไม่มีจิตใจต่อสู้รุกรบ หรือชุมนุมยืดเยื้อได้เกิน 7 วัน อย่างดีก็แค่ 2 วันที่มีความหนาแน่น จากนั้นก็จะค่อยๆ หายไป"
แต่สิ่งที่น่าหวั่นใจ ก็คือ เมื่อรู้ทั้งรู้ว่าชุมนุมโดยสงบกดดันไม่ได้ ก็อาจจะมีความพยายามหยิบความรุนแรงมาใช้
"เหตุการณ์คล้ายๆ กับช่วงสงกรานต์เมื่อปีที่แล้วอาจจะย้อนกลับมา ซึ่งผู้ชุมนุมที่เป็นคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ แต่คุณทักษิณมีไพ่ในมือหลายใบ เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะใช้ไพ่ใบไหน"
"เครือข่ายการเคลื่อนไหวของคุณทักษิณมีทั้งกลุ่มทหาร มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และแท็กซี่ ซึ่งทั้งหมดมีการจัดตั้งเอาไว้แล้วทั้งสิ้น เวลาจัดชุมนุมขับไล่รัฐบาล กลุ่มที่มีการจัดตั้งพวกนี้ก็ต้องเคลื่อนไหวอะไรสักอย่าง คงไม่อยู่เฉย ประกอบกับขบวนการเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงแยกกันเป็นหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีเจ้านายของตัวเอง แต่คุณทักษิณมีสายสัมพันธ์กับทุกกลุ่ม"
"จะเห็นว่าคุณจักรภพ (นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) กับกลุ่มคุณวีระ (นายวีระ มุสิกพงศ์ กลุ่มสามเกลอ) ขัดแย้งกันถึงขนาดโต้กันผ่านสื่อสีแดงเอง แต่คุณจักรภพก็ไปปรากฏตัวข้างคุณทักษิณได้ แสดงว่าคุณทักษิณเก็บทุกคนไว้ เพื่อเลือกใช้ในแต่ละสถานการณ์" พล.ท.นันทเดชระบุ
อย่างไรก็ดี จังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเคลื่อนไหว คือ ช่วงที่ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
"แนวโน้มการชุมนุมน่าจะพร้อมๆ กับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้สอดรับกัน แล้วพยายามทำให้มีสถานการณ์อื่นๆ เสริม อาทิเช่น กลุ่มเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงอาจจะมาล้อมสภา เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้มากขึ้น"
แต่ถึงที่สุดแล้ว พล.ท.นันทเดช บอกว่า หากรัฐบาลไม่พลาดเรื่องการใช้ความรุนแรง ก็น่าจะประคองสถานการณ์ผ่านไปได้ เพราะสูตรการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ของกลุ่มคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงน่าจะไม่ได้ผลด้วยเหตุผล 3 ประการ กล่าวคือ 1. จำนวนผู้ชุมนุมไม่ถึงเป้าที่จะสร้างแรงกดดันกับรัฐบาลได้ 2. กระแสสังคมเริ่มปฏิเสธเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดง และ 3. ข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นข้อมูลเก่า และมีโอกาสสูงที่จะถูกพรรคประชาธิปัตย์ย้อนศร
เหตุผลที่นำมาสู่บทสรุปนี้ คือ คำถามที่คนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงตอบไม่ได้ 3-4 ข้อ คือ 1. ทำไมจึงไปสนับสนุนกัมพูชา ทั้งๆ ที่กัมพูชากระทำไม่ดีต่อไทยหลายๆ เรื่อง 2. การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงไม่มีความชัดเจนเรื่องสถาบัน 3. เวทีเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงมีลักษณะฝ่าฝืนประเพณีไทย โดยเฉพาะเรื่องการเคารพผู้ใหญ่ ซึ่งมีการแสดงออกที่ก้าวร้าวมาก และ 4. บนเวทีเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้มีแต่ความสับสน
ทั้งหมดนี้ พล.ท.นันทเดช ชี้ว่า ทำให้ประชาชนที่สมัครใจเข้าร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงเริ่มถอยห่างออกไป และไม่น่าจะมีพลังถึงขั้นล้มรัฐบาลได้ในที่สุด
ส่วนเงินก้อนโต 7.6 หมื่นล้านบาทของครอบครัวชินวัตรที่ถูกอายัดไว้ และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีคำพิพากษาในเวลาไม่นานนี้ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าคำพิพากษาจะเป็นตัวบ่งชี้สถานการณ์ในอนาคตนั้น แต่ พล.ท.นันทเดช มองต่างออกไป
"จริงๆ เงินก้อนนี้ถูกยึดมานานพอสมควรแล้ว แต่คุณทักษิณก็ยังเคลื่อนไหวได้ตลอด แสดงว่าการยึดหรือไม่ยึดเงินก้อนนี้แทบไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหว ทั้งที่ผ่านมาและในอนาคต แต่อาจมีผลเพียงว่าคุณทักษิณต้องพิจารณาใช้เงินที่เหลืออยู่อย่างรอบคอบมากขึ้นเท่านั้น"
ทั้งหมดที่วิเคราะห์มา ทำให้ พล.ท.นันทเดช สรุปว่า หากยังเคลื่อนไหวในแนวทางนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่มีทางชนะ และนั่นก็เป็นเพราะอดีตนายกฯ รับข้อมูลไม่สมบูรณ์
"คุณทักษิณเป็นคนฉลาด ถ้าได้ข้อมูลจริงที่ครบถ้วนสมบูรณ์ จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง แต่ตอนนี้คุณทักษิณอยู่ห่างไกลเหตุการณ์มาก และยังถูกคนใกล้ชิดเป่าหู ทำให้เลือกใช้วิธีการที่ผิด ถ้าคุณทักษิณรู้สถานการณ์จริง จะทราบทันทีว่าหนทางการต่อสู้ในสภาอย่างเดียว จะทำให้คุณทักษิณได้รับชัยชนะ และพรรคประชาธิปัตย์จะต้องเจอศึกหนัก ภาพของคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงที่เคยสร้างความเสียหายให้กับพรรคเพื่อไทยก็จะหมดไป และพรรคเพื่อไทยก็จะได้รับการยอมรับจากประชาชนมากขึ้น"
"ตลอดมาคุณทักษิณได้ข้อมูลไม่สมบูรณ์ คุณทักษิณไม่โง่ถึงขนาดเคลื่อนไหวซี้ซั้วแบบนี้ จริงๆ หลายคนในกลุ่มบ้านเลขที่ 111 ก็มองออก แต่อาจจะไม่สามารถฝ่ากระแสเข้าไปเตือนคุณทักษิณได้ ฉะนั้นในความเห็นของผม ถ้าพรรคเพื่อไทยเดินทางสภาอย่างเดียว จะเป็นพรรคที่เข้มแข็ง และมีโอกาสสูงที่จะได้รับการยอมรับจากประชาชน แต่พรรคเพื่อไทยเสียโอกาสที่ไม่เล่นทางสภา และความเคลื่อนไหวของเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดง ก็ทำให้รัฐบาลมั่นคงขึ้นทางอ้อม"
พล.ท.นันทเดช ยังเชื่อว่า หากการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญทั้งในและนอกสภาของคนเสื้อแดง' class='anchor-link' target='_blank'>เสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ไม่สำเร็จ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะเปลี่ยนยุทธวิธี
"ผมคิดว่าคุณทักษิณจะดวงตาเห็นธรรม และหันมาเคลื่อนไหวทางสภาอย่างเดียว ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ประชาธิปัตย์จะหนาว เพราะคุณทักษิณใช้สื่อเก่ง และระบบการแข่งขันเรื่องการหาเสียงหรือการครองความนิยมในหมู่ประชาชนก็เหนือกว่าประชาธิปัตย์หลายขุม ที่บอกว่าประชาธิปัตย์เป็นเซียนการเมืองในสภานั้น นั่นเป็นเรื่องเมื่อ 10 กว่าปีก่อน"
"ถ้าคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยทำได้ ประเทศจะได้ประโยชน์ไปด้วย เพราะพรรคเพื่อไทยจะควบคุมรัฐบาลไม่ให้ทุจริต งบประมาณก็จะลงไปถึงประชาชนได้มากขึ้น เศรษฐกิจก็จะยิ่งฟื้นตัว เป็นประโยชน์มหาศาล คุณทักษิณก็จะกลายเป็นวีรบุรุษ เหมือนองคุลิมาลวางดาบ และพรรคเพื่อไทยก็จะได้คะแนนจากประชาชน"
ถือเป็นทางออกแบบสมานฉันท์ โดยใช้สถานการณ์เป็นตัวกำหนดเกม!
คัดลอกมาจาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ผู้เขียนอยากจะวิเคราะห์เหมือนกัน แต่เสียดาย 1 สัปดาห์จากนี้มีเรื่องด่วนต้องจัดการ รบกวนใครเข้ามาอ่าน ลองติดตามดู
วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553
ศึกเขายายเที่ยง
วานนี้ (10 มกราคม) นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดง วอนทุกฝ่ายในกระบวนการยุติธรรม ขอให้นำคดี พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ บุกรุกป่าเขายายเที่ยงสู่ศาลก่อนแผ่นดินลุกเป็นไฟ
เช้าวันที่ 11 มกราคม รถบัสหลายคันของกลุ่มคนเสื้อแดงถึงเขายายเที่ยงแล้ว ส่งผลจราจรติดขัดบรรยากาศการค้าขายของชำคึกคัก
ช่วงสายกลุ่มคนเสื้อแดงนับหมื่นรวมพลที่เชิงเขาก่อนเคลื่อนพลขึ้นสู่ยอดเขายอดเที่ยง
ที่บริเวณหน้าบ้าน พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ องคมนตรี กลุ่มคนเสื้อแดงพร้อมประชาชนในพื้นที่เตรียมลงเสาเอกเพื่อสร้างหมู่บ้าน “สองมาตรฐาน” ขึ้น
ด้านนายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ท้าทาย พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ พร้อมเดิมพันตำแหน่ง ส.ส. กับตำแหน่งองคมนตรี ให้รังวัดที่ดินเขายายเที่ยงเกิน 21 ไร่หรือไม่ และคืนนี้นายจตุพรจะขึ้นเวทีเขายายเที่ยง บอกจะแฉ พล.อ.สุรยุทธิ์อยู่เบื้องหลังนำทหารเข่นข้าประชาชนในเหตุพฤษภาพมิฬ
พร้อมกันนั้นได้กล่าวถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ว่าอยู่เบื้องหลังนายทุนธนาคารกรุงเทพฯ รุกที่เขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรีทำสนามกอล์ฟ
วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553
นปช.ตั้งขบวนหน้า สภอ.โคราช/บุรีย์รัมย์ สุรินทร์ พาคนไปเขายายเที่ยง
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 10 มกราคม นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรืออีสานแรมโบ้ กล่าวเชิญชวนพี่น้องคนเสื้อแดงและผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงที่ไม่พอใจกับระบบการบริหารบ้านเมืองแบบ 2 มาตรฐาน ให้มารวมตัวกันก่อนเคลื่อนพลขึ้นเขายายเที่ยง ตั้งเวทีปราศรัยหน้าบ้าน พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ องคมนตรี
สายข่าวคนเสื้อแดงรายงานมาว่ามีการเกณฑ์คน 5 พันคน จากจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ แต่งกายเป็นชาวบ้านเตรียมชุมนุมคัดค้านคนเสื้อแดงที่เขายายเที่ยง
ด้านตำรวจนครราชสีมา ยืนยันสามารถดูแลกลุ่มคนเสื้อแดงได้ ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร พร้อมทั้งกล่าวว่าไม่มีการตั้งด่านสกัดกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะถือว่าเป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ในกรอบที่กฏหมายกำหนด
จากข่าวที่ได้รับ หากมีการระดมคนในต่างจังหวัดเข้าไปยังบริเวณเขายายเที่ยงจริง คนในพื้นที่น่าจะสังเกตเห็น เนื่องจากคุ้นชินกับคนพื้นเมืองเป็นอย่างดี และที่สำคัญคนที่ถูกระดมมา จะเดินทางมาเป็นกลุ่มก้อน อาจเป็นกลุ่มย่อยหรือกลุ่มใหญ่
งานนี้คาดว่าสื่อสารมวลชนจำเป็นของคนเสื้อแดงคงเตรียมพร้อม ใช้เทคโนโลยีที่มีตามอัตภาพทำการบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน ฝ่ายข่าวคงต้องเร่งหาตัวผู้สั่งการอย่างเร่งด่วน เพราะหากเกิดเหตุรุนแรงจะได้ออกมาแฉได้ทันท่วงที
ขอเตือนผู้สั่งการด้วยความเป็นห่วงและหวังดี หากกลุ่มคนเสื้อแดงรู้ว่าผู้ใดคือผู้อยู่เบื้องหลัง อาจมีแขกไม่ได้รับเชิญไปเยี่ยมถึงบ้านโดยไม่ทันตั้งตัว หรือหากท่านเดินทางออกนอกพื้นที่อาจมีผู้ไม่พึงประสงค์จะให้พบแวะเวียนไปหา เพราะฉะนั้นหากคิดจะกระทำสิ่งใดควรคิดถึงผลได้ผลเสียให้รอบคอบ ไม่เช่นนั้น “อยากเกิดผลกระทบตามมาโดยที่ท่านเองอาจคาดไม่ถึง”
แกนนำนปช.นัดรวมพลเขายายเที่ยง
เที่ยงวันนี้ (10 มกราคม) แกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน นัดรวมพลคนเสื้อแดงก่อนเปิดเวทีปราศรัยในช่วงเย็นบริเวณตรงข้ามบ้าน พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ องคมนตรี ที่เขายายเที่ยง จนถึงวันพรุ่งนี้ (11 มกราคม)
เสียงเพลงแห่งเสรีภาพ เสียงเพลงแห่งประชาธิไตย และเสียงเพลงแห่งความคิดถึงผู้อยู่แดนไกลกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับการปราศรัยทวงถามการทำงานระบบ 2 มาตรฐานจากพี่น้องคนไทยถึงรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์และชนชั้นอำมาตยาธิปไตย โดยมีประชาชนทั่วทุกภูมิภาคเป็นผู้ขับเคลื่อน
ข่าวไม่ได้กรองแว่วมาว่างานนี้อาจมีซุ้มอาหารการกิน มาจากควันหลงงานวันเด็กที่ชาวบ้านรอบๆ บริเวณจากเขายายเที่ยงนำมาเผื่อแผ่ผู้ชุมนุม เลี้ยงดูปูเสื่อกันฉันท์มิตร แว่วมาอีกว่ามีชาวบ้านบางส่วนพร้อมใจกันใส่เสื้อแดง บางคนเตรียมขึ้นเวทีแกนนำอีกด้วย ไม่ทราบป่านนี้..แต่งตัวรอเรียบร้อยหรือยัง ประชาธิปไตยอยู่ที่ไหน ดอกและผลของมันจะเบ่งบานที่นั่น
คาดว่าพลพรรคสู้ศึกอย่างคึกคะนอง คงมีความคิดที่ว่า หากผู้นำมีจิตใจตั้งมั่นมุ่งฝ่าฟันไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่รออนู่ข้างหน้าด้วยปณิธานอันแรงกล้า ไม่หวั่นไหว ไม่หวาดกลัว เมื่อถึงเวลานั้นประชาชนจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างดั่งใจหวัง
งานวันเด็ก 2553 / นปช.ถือกฤษ์ดีเปิดโรงเรียนที่พัทลุง
เสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม ของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติ บรรดาผู้ใหญ่มักพาลูกหลานไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ที่รัฐบาลและเอกสารจัดขึ้น
งานวันเด็กปีนี้หลายแห่งออกจะวุ่นๆ เหตุเพราะเด็กตอบคำถามโดยจำคำขวัญวันเด็กของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ได้มากกว่าคำขวัญของนายกอภิสิทธิ์
วันนี้อดีตนายกฯ "ทักษิณ” ได้โฟนอินไปที่งานวันเด็กของกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ซึ่งเป็นบ้านเกิด กล่าวกับเด็กและผู้ร่วมงานว่า “โลกยุคใหม่ต้องมันสมองและปัญญาสู้กับความไม่เป็นธรรม
ที่นครราชสีมาวันนี้ ชาวบ้านเขายายเที่ยงจัดกิจกรรมวันเด็กกันอย่างสนุนสนาน ไม่มีทีท่าวิตกกังวลกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะมาชุมุมทวงถามการทำงาน 2 มาตรฐาน ในวันที่ 11 ที่จะถึง
วันเด็กปีนี้ บรรดาแกนนำ นปช.ยกทีมถือเป็นฤกษ์ดี ทำการเปิดโรงเรียนคนเสื้อแดงภาคใต้ มีผู้สนใจเข้าร่วมกว่า 800 คน ที่โรงแรมวังโนราห์ จังหวัดพัทลุง
ในเวลา 16.00 น.จะมีการปราศรัยที่เวทีสวนสาธารณะเทศบาล ค่ำๆ จะมีวีดีโอลิงค์ทักทายพี่น้องคนเสื้อแดงชาวใต้จาก “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”
ขุมทรัพย์ "ทักษิณ" และ "ตุลาการภิวัฒน์
หลังจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดย ได้การแต่งตั้งองค์กรอิสระ อาทิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตชาติแห่ง (ป.ป.ช) คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (ค.ต.ส.) ขึ้นมาเพื่อปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น
นับแต่มีการยึดอำนาจครั้งนั้นกระบวนการยุติธรรมได้ถูกกยกระดับให้เข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น หรือที่หลายฝ่ายเรีกยว่า “ตุลาการภิวัฒน์”
การที่กระบวนการยุติธรรมเข้ามามีบทบาทมากขึ้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือทำให้บรรดานักการเมืองเกรงกลัวที่จะกระทำความผิด ส่วนข้อเสีย กระบวนการยุติธรรมอาจเสื่อมหมดความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชนและเวทีโลกหากมีการแทรกแซงองค์กรอิสระ เหมือนที่ คมช.เคยใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจจากรัฐบาล “ทักษิณ”
การบริหารบ้านเมืองตามหลักทฤษฎีว่าด้วยการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทย อำนาจนิติบัญญัติ ตุลาการ และบริหาร ต้องมีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน นั่นหมายถึงสามารถตรวจสอบกันได้ แต่หลังจากมีการยึดอำนาจ ฝ่ายตุลาการเข้ามามีบทบาททางการเมืองอย่างสูง สามารถชี้เป็นชี้ตายหลายคดีของฝ่ายบริหาร ทั้งคดียุบพรรคไทยรักไทย มีการตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองย้อนหลัง 5 ปี ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ คมช.กำหนดขึ้น
หลังจากนั้นก็ยุบพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล ยังมีคดีนายสมัคร สุนทรเวช คดีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีด้วยฝีมือ “ตุลาการภิวัฒน์” ทั้งสิ้น
ล่าสุดต้นปี 2553 จะมีการตัดสินคดีใหญ่อีกหนึ่งคดี นั่นคือ “ยึดทรัพย์อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร" นายกฯ คนที่ 23 ของไทย นายกรัฐมนตรีท่านนี้มีข่าวการถูกลอบสังหารหลายครั้งในขณะดำรงตำแหน่ง ไม่ทราบข้อเท็จจริงเป็นประการใด แต่เพิ่งมีการนำมาเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้
ครั้งแรกได้มีการสั่งการให้ยิงอาวุธหนักเข้าไปในบ้าน “ทักษิณ” แต่ผู้ร่วมวางแผนเห็นว่าหนักและรุนแรงเกินไป เนื่องจากเป็นการสังหารภรรยา ลูกๆ และคนในบ้านซึ่งไม่เกี่ยวข้องด้วย จึงเปลี่ยนมาเป็นใช้ปืน Snapper ยิงแทน แต่ไม่สำเร็จเนื่องจาก “ทักษิณ” เปลี่ยนเส้นทาง
ครั้งที่สองมีการวางแผนลอบสังหารงที่ท้องสนามหลวง แต่ “ทักษิณ” ขึ้นเวทีปราศรัยเร็วกว่าเวลาที่กำหนด ผู้ปฏิการเตรียมตัวไม่ทัน แผนการณ์จึงล้มเหลว
ครั้งที่สามที่ทางเข้าออกสนามบิน ช่วงที่ "ทักษิณ" กลับจากต่างประเทศ แต่สายข่าวรายงานให้ทราบล่วงหน้าจึงมีการเปลี่ยนเส้นทางได้ทันท่วงที ครั้งหลังสุดก็กรณีคาร์บอมม์หรือคาร์บ๊องซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราวอยู่พักใหญ่
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2552 ศาลนัดไต่สวน นายกล้านรงค์ จันทิก กับ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และล่าสุดจะมีการนัดสอบพยานคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านเพิ่มอีกในวันที่ 12 และ 14 มกราคม 2553
เรื่องนี้ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ขึ้นเวทีปราศรัยในหลายเวทีทั่วทุกภาคว่า "มีการตั้งธงไว้แล้วล่วงหน้า" เนื่องจากรัฐบาลคิดว่า หาก "ทักษิณ" ถูกยึดทรัพย์กลุ่มคนเสื้อแดงจะหยุดการเคลื่อนไหว เหตุเพราะขาดท่อน้ำเลี้ยง
ผู้เขียนขอย้อนอดีตก่อนการซื้อขายหุ้น ขณะนั้นมีข่าวออกมาหลายกระแสว่า จุดประสงค์ในการขายหุ้นของกลุ่มชินฯ เจตนาเพื่อพยายามให้ครอบครัวของตนปลอดจากธุรกิจให้มากที่สุด และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกโจมตีจากกลุ่มคนที่ต้องการโค่นล้ม”ทักษิณ” ให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่กลับถูกกล่าวหาว่า “เป็นการขายสมบัติชาติ”
และการขายหุ้นที่ “ครอบครัวชินวัตรเป็นเจ้าของสัมปทาน” สิทธิในธุรกิจโทรศัพท์มือถือและสัมปทานสิทธิในดาวเทียมหลายฝ่ายมองส่าไม่ใช่ “สมบัติชาติ”
แต่เมื่อมีการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามว่าการขายหุ้นของกลุ่มชินวัตร ซึ่งตามกฎหมายไม่ต้องเสียภาษี แต่กลับถูกกล่าวหาว่าขายหุ้นเป็นเงินถึง 76,000 ล้านบาท ไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว ถือเป็นการสร้างกระแสโทสะเกลียดชังให้กับประชาชน
แต่การจ่ายภาษีส่วนบุคคลของครอบครัว “ชินวัตร” กว่าสามพันล้านบาท และการจ่ายภาษีจากการทำธุรกิจของกลุ่มชินฯ ซึ่งถ้ารวมค่าสัมปทานด้วยแล้ว เป็นเงินกว่าสองแสนล้านบาทถูกปิดบังเงียบ ไม่เคยมีการกล่าวถึงร่วมด้วย หากจะมองเจตนาผู้พูด หลายฝ่ายอาจมองว่าเป็นการสร้างภาพบิดเบือนให้เข้าใจผิดว่า “เป็นการทำธุรกิจที่ไม่ได้จ่ายภาษีเลย”
การซื้อขายหุ้นหลายฝ่ายน่าจะเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ทั้งกลุ่มผู้ร่วมกล่าวหาและอาจมีสื่อบางท่านรวมอยู่ด้วย น่าจะลองกลับไปดูว่า “ตัวท่านเองจ่ายภาษีขายหุ้นหรือไม่”
มีคำถามตามมาอีกว่าหาก “ทักษิณ” ถูกยึกทรัพย์ ใครจะมีส่วนได้เงินสินบนหรือเงินรางวัลนำจับ และได้เท่าไหร่ จากขุมทรัพย์ "ทักษิณ" แว่วมาอีกว่าหลังการยึดอำนาจ มีการออกระเบียบค่าสินบน 25 เปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สินที่ยึดมาได้
เรื่องการตัดสินคดีความ จะยึดหรือไม่ยึดก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่โปรดอย่าลืมว่า ก่อนหน้าที่ “ทักษิณ” จะเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของครอบครัวไว้กับ ปปช.แว่วมาว่ามีมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท และก่อนหน้านั้นในปี 2543 นิตยสารฟอร์บส ได้จัดลำดับเศรษฐีโลก “ทักษิณ” ติดอันดับ ด้วยทรัพย์สินที่ตีมูลค่าจากหุ้นรวม 54,000 ล้านบาท
หากจะมีใครลองคำนวณมูลค่าหุ้นครอบครัวชินวัตร โดยเริ่มจากบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ปชป. ก่อน “ทักษิณ” เข้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่ากันตามมูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์กระทั่งถึงวันซื้อขายหุ้น ว่ามีมูลค่าเท่าไหร่ แล้วนำออกมาเปิดเผยต่อสาธารณชนเพื่อยืนยันอีกสักครั้งก็น่าจะดีไม่น้อย ร่ายยาวแบบหนัง "ย้อนเวลาหาอดีต"
ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า “มีการทุจริตเชิงนโยบาย” หากในช่วงทำนิติกรรมซื้อขาย หุ้นของตระกูลชินวัตรขึ้นผิดปกติหรือขึ้นอยู่บริษัทเดียว ในขณะที่กิจการในลักษณะเดียวกันมูลค่าหุ้นคงเดิม เพิ่มขึ้นหรือลดลงผิดปกติ กระบวนการยุติธรรมก็น่าจะนำประเด็นนี้มาพิจารณาด้วยเช่นกัน
จากคำพูดของหลายฝ่ายรวมทั้งข้ออ้างที่ คมช.ใช้ยึดอำนาจว่า “มีการทุจริตเชิงนโยบาย” ผู้เขียนเป็นงง เข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนรากหญ้าที่ถูกตราหน้าว่าไร้การศึกษา ซื้อสิทธิ์-ขายเสียง ก็คงงงยกกำลังสองเช่นกัน แล้วยิ่งต่างชาติฟังแล้วเป็นเง็ง งงไปอีกแปดตลบ เนื่องจากการกระทำในลักษณะนี้ต่างประเทศไม่มีกฏหมายรองรับ
และในประเทศไทยเอง กว่าจะตรวจสอบพบ ก็ต้องมีการยึดอำนาจ 19 กันยา 2549 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้นกระบวนการยุติธรรมปกติที่ใช้กันมานาน ตั้งแต่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2540 ตรวจสอบความผิดลักษณะนี้ไม่พบใช่หรือไม่ คมช. จึงต้องตั้งหน่วยงานขึ้นมารับผิดชอบคดี “ทักษิณ” โดยเฉพาะ
แน่ใจแล้วหรือ "รัฐบาล" จะยกเลิกหวยออนไลน์
มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากกรณีนากยอภิสิทธิ์ ออกมาประกาศจุดยืนว่ากำลังหาช่องทางยกเลิกสัญญาหวยออนไลน์ เหตุเพราะรัฐบาลไม่สนับสนุนการพนัน และเห็นว่าการออกหวยออนไลน์มีผลกระทบในแง่ลบต่อสังคมโดยรวม
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมีการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับหวยออนไลน์
นอกจากนี้ยังมีผลจากการศึกษาธุรกิจหวยใต้ดิน ว่ามีรายได้ ไม่ตํ่ากว่าสามแสนล้านบาทต่อปี
คิดเฉลี่ยกำไร 20 เปอร์เซ็นต์ ก็ประมาณหกหมื่นล้านบาท เงินจำนวนนี้เข้ากระเป๋าเจ้ามือหวยใต้ดินโดยไม่ต้องจ่ายภาษีให้รัฐแม้แต่สตางค์แดงเดียว
ฝ่ายรัฐบาลก็เคยสั่งให้มีการตรวจสอบข้อกฎหมายอย่างรอบคอบ และผลที่ออกมายืนยันว่าการออกหวยออนไลน์ ไม่ขัดต่อกฎหมายทุกกรณี
มิหนำซ้ำรัฐมนตรีคลังก็ออกมายืนยันหนักแน่นว่าหวยออนไลน์ต้องเดินหน้าแน่นอน
บริษัทล็อกซเล่ย์ เจ้าของสัมปทาน จึงติดตั้งเครื่องขายหวยอัตโนมัติพร้อมดำเนิน ตามมติบอร์ดสลากกินแบ่งรัฐบาลเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ซึ่งได้อนุมัติให้หวยออนไลน์เริ่มเปิดขายงวดแรกในงวดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียงเดือนเศษ
แต่เมื่อท่านนายกออกมาแสดงจุดยืน “รัฐบาลต่อต้านอบายมุขเต็มที่” โดยบอกจะยกเลิกหวยออนไลน์ แล้วเสนอทางเลือกโดยการชดเชยค่าเสียหายให้กับบริษัทเอกชน เจ้าของสัมปทาน
ผลที่ตามมาก็คือ บริษัทลอกซ์เลย์ออกมาประกาศทันควัน ว่าจะยังคงเดินหน้าขายหวยออนไลน์ต่อไป และขู่ฟ้องรัฐบาลเพราะหากยกเลิกโครงการ บริษัทเสียหาย 3 พันล้านบาท
พรรคเพื่อไทยกล่าวถึงการยกเลิกหวยออนไลน์ว่าทำให้เจ้ามือหวยใต้ดินคึกคัก และจุดประสงค์ที่แท้จริงของรัฐบาลชุดนี้ เพียงเพื่อต้องการให้ประชาชนลืมอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลที่ริเริ่มโครงการนี้
ฝ่ายผู้ค้าหวยออนไลน์ไม่น้อยหน้า ออกมาโวยรัฐบาลห่วงแต่ความเสียหายของบริษัทล็อกซ์เลย์ แต่ไม่ห่วงผู้ค้าหวยบางคนที่ถึงกับหมดตัว และยังบอกอีกว่ามีผู้ค้าถึง 5 พันราย แต่ละรายรับภาระไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1 หมื่นบาท ถ้ารัฐบาลยืนยันจะยกเลิก ก็พร้อมจะสู้ทุกรูปแบบ และถ้ากลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมใหญ่ช่วงเดือนมกราคม ก็พร้อมจะเข้าไปร่วม
เจอไม้นี้ท่านนายกมึนหนัก ออกมาบอกว่าจะเชิญผู้แทนจากบริษัทล็อกซ์เลย์ เข้าหารือเรื่องค่าชดเชยการเลิกหวยออนไลน์ คาดว่าค่าเสียหายไม่น่าจะเกิน “หนึ่งหมื่นล้านบาท”
นิรนามได้ยินท่านนายก พูดถึงเงินชดเชยค่าเสียหาย “หมื่นล้านบาท” ให้กับบริษัทล็อกซ์เลย์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย หากเป็นของเงินท่านนายกฯ เอง ประชาชนไม่มีปัญหา
แต่นี่ท่านคิดจะ “นำเงินภาษีของประชาชน” ไปจ่ายให้บริษัทเอกชน ซึ่งผู้ถือหุ้นบางรายมีความเกี่ยวพันกับคนในตระกูลจาติกวณิช จึงอาจถูกมองจากหลายฝ่ายว่าท่านมีเจตนาเอื้อประโยชน์พวกพ้อง คงหนีไม่พ้นเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา “เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน” เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์สมัยเป็นฝ่ายค้าน เคยกล่าวหาอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
คงมีหลายฝ่ายอยากเตือนท่านนายกฯ ควรไตร่ตรองให้รอบคอบ ในภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ประเทศชาติและประชาชนมีหนี้สาธารณะถึงแปดแสนล้านบาท “สมควรแล้วหรือที่จะนำเงินไปใช้จ่ายเช่นนี้ “
สมัยรัฐบาล “ทักษิณ” เคยมีคำพูดติดปากว่า “เงินของคนจนก็ต้องกลับคืนสู่กระเป๋าคนจน” ในตอนนั้นรัฐบาล ใช้เงินนี้เป็นทุนการศึกษาให้เด็กที่เรียนดี แต่ยากไร้และสาธารณะประโยชน์อื่นๆ ยกตัวอย่างโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน
นิรนามได้เข้าไปอ่านในกระทู้ถึงสาาเหตุที่ “รัฐบาลทักษิณ” คิดโครงการหวยออนไลน์ขึ้นมา เพราะ
1. ต้องการแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคาได้
2. ต้องการแก้ปัญหาหวยใต้ดิน ที่ผ่านมาก็แทบสูญพันธุ์ หากไม่มีการยกเลิกซะก่อน
3. แก้ปัญหาอิทธิพล มาเฟีย และอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับหวยใต้ดิน
4. ก่อรายได้นำไปใช้อุดหนุนการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาส อันจะงอกเงยผลแก่ประเทศอย่างไม่รู้จบ
5. นำรายได้นำไปใช้แก่สาธารณะประโยชน์
6. ป้องกันผู้ไม่รักดีลุ่มหลงการพนันให้มีทางระบายออกอย่างยากที่จะหายนะเช่นการพนันอื่น
7. ให้คนจนได้มีทางผ่อนคลายความทุกข์ ความเหน็ดเหนื่อยจากงานด้วยความหวัง ถึงแม้จะมีโอกาสน้อยแต่ก็ยังพอมองเห็น
มาถึงสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ มีโครงการจะยกเลิกหวยออนไลน์แล้วยังลากยาวไปถึงการยกเลิกล็อตตาลี่ เหตุเพราะไม่สนับสนุนการพนัน
แต่โปรดอย่าลืมว่า หวยกับคนไทยอยู่คู่กันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ หากรัฐบาลคิดจะเลิกหวยออนไลน์ด้วยเหตุผลไม่สนับสนุนการพนัน ก็น่าจะเลิกการพนันขันต่อชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น หวยหุ้น พนันบอล แทงม้า
หากเลิกโครงการนี้จริง คงมีคำถามตามมาว่า รัฐบาลเอื้อประโยชน์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไม่ จะเข้าตำรา “เตะหมู เข้าปากหมา” หรือเปล่า เพราะในอดีตหมูชิ้นนี้ เข้าปากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมีการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับหวยออนไลน์
นอกจากนี้ยังมีผลจากการศึกษาธุรกิจหวยใต้ดิน ว่ามีรายได้ ไม่ตํ่ากว่าสามแสนล้านบาทต่อปี
คิดเฉลี่ยกำไร 20 เปอร์เซ็นต์ ก็ประมาณหกหมื่นล้านบาท เงินจำนวนนี้เข้ากระเป๋าเจ้ามือหวยใต้ดินโดยไม่ต้องจ่ายภาษีให้รัฐแม้แต่สตางค์แดงเดียว
ฝ่ายรัฐบาลก็เคยสั่งให้มีการตรวจสอบข้อกฎหมายอย่างรอบคอบ และผลที่ออกมายืนยันว่าการออกหวยออนไลน์ ไม่ขัดต่อกฎหมายทุกกรณี
มิหนำซ้ำรัฐมนตรีคลังก็ออกมายืนยันหนักแน่นว่าหวยออนไลน์ต้องเดินหน้าแน่นอน
บริษัทล็อกซเล่ย์ เจ้าของสัมปทาน จึงติดตั้งเครื่องขายหวยอัตโนมัติพร้อมดำเนิน ตามมติบอร์ดสลากกินแบ่งรัฐบาลเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ซึ่งได้อนุมัติให้หวยออนไลน์เริ่มเปิดขายงวดแรกในงวดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียงเดือนเศษ
แต่เมื่อท่านนายกออกมาแสดงจุดยืน “รัฐบาลต่อต้านอบายมุขเต็มที่” โดยบอกจะยกเลิกหวยออนไลน์ แล้วเสนอทางเลือกโดยการชดเชยค่าเสียหายให้กับบริษัทเอกชน เจ้าของสัมปทาน
ผลที่ตามมาก็คือ บริษัทลอกซ์เลย์ออกมาประกาศทันควัน ว่าจะยังคงเดินหน้าขายหวยออนไลน์ต่อไป และขู่ฟ้องรัฐบาลเพราะหากยกเลิกโครงการ บริษัทเสียหาย 3 พันล้านบาท
พรรคเพื่อไทยกล่าวถึงการยกเลิกหวยออนไลน์ว่าทำให้เจ้ามือหวยใต้ดินคึกคัก และจุดประสงค์ที่แท้จริงของรัฐบาลชุดนี้ เพียงเพื่อต้องการให้ประชาชนลืมอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลที่ริเริ่มโครงการนี้
ฝ่ายผู้ค้าหวยออนไลน์ไม่น้อยหน้า ออกมาโวยรัฐบาลห่วงแต่ความเสียหายของบริษัทล็อกซ์เลย์ แต่ไม่ห่วงผู้ค้าหวยบางคนที่ถึงกับหมดตัว และยังบอกอีกว่ามีผู้ค้าถึง 5 พันราย แต่ละรายรับภาระไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1 หมื่นบาท ถ้ารัฐบาลยืนยันจะยกเลิก ก็พร้อมจะสู้ทุกรูปแบบ และถ้ากลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมใหญ่ช่วงเดือนมกราคม ก็พร้อมจะเข้าไปร่วม
เจอไม้นี้ท่านนายกมึนหนัก ออกมาบอกว่าจะเชิญผู้แทนจากบริษัทล็อกซ์เลย์ เข้าหารือเรื่องค่าชดเชยการเลิกหวยออนไลน์ คาดว่าค่าเสียหายไม่น่าจะเกิน “หนึ่งหมื่นล้านบาท”
นิรนามได้ยินท่านนายก พูดถึงเงินชดเชยค่าเสียหาย “หมื่นล้านบาท” ให้กับบริษัทล็อกซ์เลย์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย หากเป็นของเงินท่านนายกฯ เอง ประชาชนไม่มีปัญหา
แต่นี่ท่านคิดจะ “นำเงินภาษีของประชาชน” ไปจ่ายให้บริษัทเอกชน ซึ่งผู้ถือหุ้นบางรายมีความเกี่ยวพันกับคนในตระกูลจาติกวณิช จึงอาจถูกมองจากหลายฝ่ายว่าท่านมีเจตนาเอื้อประโยชน์พวกพ้อง คงหนีไม่พ้นเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา “เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน” เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์สมัยเป็นฝ่ายค้าน เคยกล่าวหาอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
คงมีหลายฝ่ายอยากเตือนท่านนายกฯ ควรไตร่ตรองให้รอบคอบ ในภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ประเทศชาติและประชาชนมีหนี้สาธารณะถึงแปดแสนล้านบาท “สมควรแล้วหรือที่จะนำเงินไปใช้จ่ายเช่นนี้ “
สมัยรัฐบาล “ทักษิณ” เคยมีคำพูดติดปากว่า “เงินของคนจนก็ต้องกลับคืนสู่กระเป๋าคนจน” ในตอนนั้นรัฐบาล ใช้เงินนี้เป็นทุนการศึกษาให้เด็กที่เรียนดี แต่ยากไร้และสาธารณะประโยชน์อื่นๆ ยกตัวอย่างโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน
นิรนามได้เข้าไปอ่านในกระทู้ถึงสาาเหตุที่ “รัฐบาลทักษิณ” คิดโครงการหวยออนไลน์ขึ้นมา เพราะ
1. ต้องการแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคาได้
2. ต้องการแก้ปัญหาหวยใต้ดิน ที่ผ่านมาก็แทบสูญพันธุ์ หากไม่มีการยกเลิกซะก่อน
3. แก้ปัญหาอิทธิพล มาเฟีย และอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับหวยใต้ดิน
4. ก่อรายได้นำไปใช้อุดหนุนการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาส อันจะงอกเงยผลแก่ประเทศอย่างไม่รู้จบ
5. นำรายได้นำไปใช้แก่สาธารณะประโยชน์
6. ป้องกันผู้ไม่รักดีลุ่มหลงการพนันให้มีทางระบายออกอย่างยากที่จะหายนะเช่นการพนันอื่น
7. ให้คนจนได้มีทางผ่อนคลายความทุกข์ ความเหน็ดเหนื่อยจากงานด้วยความหวัง ถึงแม้จะมีโอกาสน้อยแต่ก็ยังพอมองเห็น
มาถึงสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ มีโครงการจะยกเลิกหวยออนไลน์แล้วยังลากยาวไปถึงการยกเลิกล็อตตาลี่ เหตุเพราะไม่สนับสนุนการพนัน
แต่โปรดอย่าลืมว่า หวยกับคนไทยอยู่คู่กันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ หากรัฐบาลคิดจะเลิกหวยออนไลน์ด้วยเหตุผลไม่สนับสนุนการพนัน ก็น่าจะเลิกการพนันขันต่อชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น หวยหุ้น พนันบอล แทงม้า
หากเลิกโครงการนี้จริง คงมีคำถามตามมาว่า รัฐบาลเอื้อประโยชน์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไม่ จะเข้าตำรา “เตะหมู เข้าปากหมา” หรือเปล่า เพราะในอดีตหมูชิ้นนี้ เข้าปากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553
TS Live วันเด็ก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)