วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

คือ..ความมั่นคง


เรื่องสั้นการเมือง
โดย มนต์ เมืองมาย

“ติ๊ดๆๆๆๆ..ติ๊ดๆๆๆๆ..ติ๊ดๆๆๆๆ..” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมกับจินตนาการของคนโทรที่ลุ้นให้ผมรับสาย
“รับสิๆรับสิโว้ย..ไอ้ห่า” เรื่องอะไรจะไม่รับ คนอย่างผมมันชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แคร์สังคมอยู่แล้ว โดยเฉพาะเจ้าหนี้
“สวัสดีครับเจ๊ งวดหน้าได้ไหมครับ ผมจะจ่ายให้ทบสองงวดเลยเอา เดือนนี้มัน..” ผมผลัดผ่อนต่อรองอย่างร้อนรนไม่ทันฟังเหนือฟังใต้ คู่สนทนาหัวเราะคิกคักทำให้ผมชะงักกึ๊ก
“ฉันเองพี่ จ๋อมไง ท่าจะบ้า ก่อหนี้ไว้เยอะล่ะสิ” นังจ๋อมน้องสาวคนเล็กนั่นเอง เพียงรับรู้ว่าเป็นมันก็ทำให้รู้สึกเบาใจที่จะเปิดเผยบัญชีหนี้สินผ่านสื่อไร้สาย ความจริงก็พอรู้ๆกันอยู่ในหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย
“เออ..สี่แสนแปดกับอีกยี่สิบห้าสตางค์” ผมบอกอย่างไม่ปิดปัง เครดิตระดับผมกู้ได้แค่นี้ก็นับว่าบุญพาวาสนาส่งแล้ว ไม่ต้องไปน้อยใจมันหรอก ผมปลอบใจตัวเองแบบประชดประชันความด้อยโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน ค่อนข้างมั่นใจว่าถึงอย่างไรชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีสิทธิ์ได้สัมผัสการล้มบนฟูกอย่างเศรษฐีร้อยเล่ห์พันเหลี่ยมพวกนั้น
“เรื่องของพี่ ฉันไม่เกี่ยว”
“เออ..ประเสริฐแท้ น้องกรู” ผมประชดอย่างขมขื่น ทีมันขอสี่ซ้าห้าหมื่น ผมไม่เคยขัดข้อง แต่พอผมจะยืมมันบ้าง แม่คุณกลับคิดดอกซะงั้น พักหลังผมเลยต้องบอกว่ามีหนี้บานเบอะอย่างว่า มันเลยไม่มารบกวน เช่นเดียวกับเพื่อนฝูงคนอื่นๆ พอเจอหน้าไม่ทันที่ผมจะอ้าปาก มันรีบทักทายโบกไม้โบกมือชิ่งหนี บอกไม่ว่าง รีบไปซักผ้าให้เมีย ที่แท้กลัวผมยืมตังค์ โธ่..ทำไมจะไม่รู้สันดานพวกมัน นึกแล้วยังเจ็บใจไม่หาย เอาเถอะ..รวยเมื่อไรจะเชิดให้ดู
“แหม..พี่ก็ ฉันน่ะดูแลพ่อนะ เงินทองของพี่ฉันก็เอามาใช้ในบ้านนี่แหละ รับภาระแทนพี่งกๆอยู่นี่ไง” น้องเล็กเถียง บังคับให้ผมต้องยืนยันถ้อยคำเดิม
“เออ..ก็ถึงว่าประเสริฐไง ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย” ผมพูดไปเรื่อยให้น้องนุ่งสบายใจ ความจริงก็ไม่ได้ติดใจอะไรนักหนา ชีวิตคนเราก็ขึ้นๆลงๆเหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เพียงแต่คนจนเปรียบเหมือนหุ้นราคาต่ำ มีโอกาสราคาตกมากกว่าขึ้น เรื่องของเรื่องก็คือปัจจัยด้านลบมันมากกว่าปัจจัยด้านบวก โอกาสสร้างข่าวปั่นหุ้นก็ไม่มี ต้องอับจนดักดานกันต่อไป ชีวิตรายล้อมไปด้วยปัจจัยที่อาจทำให้เพลี่ยงพล้ำซวนเซไร้หลักประกันอยู่ทุกลมหายใจ
“ช่างเถอะ..เมื่อวานพ่อบอกจะขายที่”
“หา..จะขายทำไม ที่แค่กระแบะมือเดียว โอย..ตายๆๆๆ..” ผมหลุดปากออกไปอย่างใช้อารมณ์ซึ่งเสียมารยาท แม้ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจอย่างนั้น แต่ก็ควรตั้งสติรับฟังอย่างสุขุมเคารพในทัศนะผู้อื่น ตามวิสัยนักประชาธิปไตยสมบูรณ์
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าเกษตรกรส่วนใหญ่นั้นมีชีวิตอยู่อย่างจำยอมและจำเจ พวกเขามีทางเลือกไม่มากนัก เมื่อเห็นว่าที่ทางพอจะมีราคาก็อยากจะขายทิ้งๆไป เพราะขืนดันทุรังทำไปก็มีแต่จะลำบากยากจนหนี้สินท่วมท้นเช่นเดิม
ก่อนหน้านั้นพ่อขายที่ไปแล้วสิบแปลง เพื่อปลดหนี้สินและแบ่งให้พี่ๆน้องๆรวมทั้งผมไปลงทุนค้าขายเล็กๆน้อยๆ ทว่าต่อมาก็เจ๊งไม่เป็นท่า หอบเสื่อหมอนหม้อข้าวขวดน้ำปลากลับบ้านอย่างเจ็บช้ำ วันนี้เราจึงเหลือที่อยู่ไม่มาก ประมาณว่าพอปลูกบ้านอยู่อาศัยเฉพาะลูกหลาน ส่วนที่เหลือก็แค่พอเพียงสำหรับปลูกผักบุ้ง ผักกาด หอม กระเทียมเล็กๆน้อยๆแทบไม่พออยู่พอกินเท่านั้นเอง
“เห็นบอกว่าอยากมีเงินเก็บในบัญชี เผื่อเป็นอะไรไป พวกเราจะได้ไม่ลำบาก นี่ก็บ่นๆว่าไม่มีคนดูแล”
“เอ้า..พูดไปได้ ไอ้พวกลูกหลานที่อยู่เต็มบ้านมันแมวหรือไง”
“ก็นั่นแหละ ฉันก็นั่งหัวโด่อยู่เนี่ย ยังพูดมาได้ ไม่รู้แกคิดยังไง พี่มาคุยเองแล้วกัน”
“นั่น..กรูอีกแล้ว งานเข้า” ผมนึกบ่นในใจก่อนเอ่ยปาก
“เออๆเดี๋ยวไป คุยทางโทรศัพท์ไม่ได้อยู่แล้ว”
ผมยุติการสนทนาปัญหาครอบครัวอย่างรู้สึกอ่อนเพลียละเหี่ยใจ ที่คุยทางโทรศัพท์ไม่ได้ ก็เพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะถ้าผมโทรไปตอนเมา พ่อจะเป็นฝ่ายยึดอำนาจพูดจ้ออยู่คนเดียวแบบหลวงตาถือใบลานนั่งเทศน์บนธรรมมาสน์ ปล่อยให้ผมต้องทนฟังอย่างสุดเซ็ง พยายามจะแทรกด้วยคำถามเพื่อให้ได้เว้นวรรคโต้ตอบกันบ้าง แบบการสื่อสารสองทางแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะแกไม่เปิดโอกาสให้แหย่คำถามเข้าไปได้เลย
จนป่านนี้ผมยังไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่มีทักษะในการใช้เครื่องมือสื่อสารยุคดิจิตอลของผู้สูงวัยได้ จำต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิมอย่างเร่งรีบ ก่อนที่ทางผืนนั้นจะถูกแปรสภาพเป็นธนบัตร ซื้อกินซื้อใช้กลายเป็นกากอาหารล่วงหล่นลงในสุขาสังฆัสสะสามัคคี
“เป็นไงพ่อ คิดยังไงถึงจะขายที่” ผมถาม
“กรูก็อยากมีเงินติดกระเป๋ามั่งซิ อยากปลูกบ้านตากอากาศกะเขามั่ง” เพียงได้ยินผมหัวเราะหึนึกขำ
“อ้าว..รู้เรื่องกะเขาด้วย เออ..ใช้ได้ๆ”
“กรูก็คนนะมรึง ไม่ใช่ตอไม้แห้ง” ผมพยักหน้าพลางตอบโต้ในใจ
“ใช่ซิ..ถ้าเป็นตอไม้อย่างว่า ผมจะต้องตาลีตาเหลือกมานี่ทำไม”
แต่ก็เข้าใจเหตุผลความจำเป็น ไม่ว่าคนจนคนรวย ถ้ายังตัดกิเลสไม่ขาด เรื่องจะมักได้ใคร่ดีมันก็มีกันทุกคน เรียกว่าเป็นคุณสมบัติพื้นฐานธรรมดาสามัญประจำกมลสันดาน ใครๆต่างก็ฝันถึงยอดเงินในบัญชีที่เพิ่มขึ้น พอๆกับทรัพย์สินและอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลาย แม้ไม่มีในความจริงก็ขอให้มีในชั่วแวบแห่งความฝันก็ยังดี จะว่าไปถ้าไร้ฝันไร้จินตนาการเสียแล้ว ไฉนเลยจักมีความศิวิไลซ์บนโลกใบนี้
“เลี้ยงไก่เยอะล่ะสิ ทำเล้าซะมาตรฐานขนาดนั้น” ผมเปรยขึ้นพลางพยักพเยิดไปทางสิ่งปลูกสร้างที่มีรูปทรงคล้ายกระท่อมหรือเถียงนา
“บ้า..เล้าไก่พ่อมรึงซิ บ้านกรูโว้ย”
“อ้าว..แล้วกัน นี่มีบ้านพักส่วนตัวแล้วเรอะ”
“อือ..คนอย่างกรูมันเสรีชน ไม่อาศัยใครอยู่แล้ว” ผมพยักหน้าเออออตามน้ำ การพึ่งพาตนเองได้มันเป็นเรื่องดีน่าสนับสนุนทั้งนั้น และถ้าเขาจะหยิ่งบ้างก็เป็นสิทธิของเขา อย่าหมั่นไส้เลยพี่น้อง
แต่ใครจะไปคิดว่านั่นคือบ้าน เท่าที่เห็นตรงหน้ามันคือกระท่อมหลังเล็กขนาดสี่เสา แต่ไม่ได้อยู่เทเวศร์ กว้างยาวไม่เกินสี่เมตร หลังคามุงด้วยหญ้าคา ไม่มีหน้าต่าง ด้านหน้าเจาะเป็นประตูทางเข้า มีบันไดเตี้ยๆพาดลงมา เพื่อสามารถก้าวเท้าขึ้นเหยียบมุดหัวเข้าไปโดยไม่ต้องยืน เพราะเพดานมันเตี้ยมากๆ
เหมาะกับชายสูงวัยอายุเกินแปดสิบอย่างพ่อ ผู้มีผิวพรรณหยาบกร้านเรือนร่างเรียวเล็กผอมบาง เวลายืนหลังจะค่อมโก่งงอพับลงไป เวลาเดินก็จะยื่นหน้าไปก่อน รูปร่างต่ำเตี้ยลงมาก คาดว่าคงจะสูงประมาณ 150 เซ็นติเมตรได้ จากที่เคยมีรูปร่างสูงใหญ่สง่างามไม่ต่ำกว่า 170 เซ็นติเมตรเมื่อ 50 ปีที่แล้ว
หากประเมินตามหลักวิชาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุที่เคยผ่านสมองมาบ้าง ผมเห็นด้วยว่าคนสูงวัยเยี่ยงนี้มีความสามารถในการทำงานลดลง ตามกำลังวังชาที่เสื่อมถอย เช่นเดียวกับหูที่เริ่มไม่ได้ยิน สายตาพร่ามัวมองสภาพแวดล้อมได้ไม่ชัด เพราะความเสื่อมแห่งทุกองคาพยพของอวัยวะที่เกิดขึ้นตามวัย นับวันเพื่อนฝูงคนรู้ใจมีแต่จะล้มหายตายจากพลัดพรากจนเหลือแต่เขาคนเดียว การสมาคมพูดคุยลดน้อยลง มีการปลีกตัวแยกตัวจากสังคมเพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและเกิดปัญหาสุขภาพจิต
ไม่ว่าคนจนหรือคนรวยมีอำนาจวาสนา ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ว่าอาจหวั่นไหวไม่มั่นใจในอนาคตตนเอง ใครจะดูแลยามแก่เฒ่าเจ็บป่วย ถึงที่สุดใครจะจัดงานศพเมื่อล่วงลับดับชีพ งานจะออกมาดีสมเกียรติศักดิ์ศรีหรือไม่เพียงใด นั่นคือข้อวิตกทุกข์ร้อนที่สุมอยู่ในอก ทำให้นอนไม่หลับกระสับกระส่าย ยิ่งถ้าปลีกตัวครุ่นคิดคนเดียวตามลำพังบ่อยเข้า จบข่าวเลยครับท่าน โรคจิตตามหาถึงบ้าน
“เออ..พ่อ เห็นนังจ๋อมมันบอกว่าพักนี้พ่อดูเงียบๆขรึมๆจนมันกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้”
“บ๊ะ..กรูก็แก่ป่านนี้แล้ว มันจะให้ร้องรำทำเพลงทั้งวันรึไง” ผมหัวเราะ
“ก็ไม่ใช่ยังงั้น คือมันก็คงเป็นห่วงว่าพ่อมีอะไรกลุ้มอกกลุ้มใจหรือเปล่าเท่านั้นแหละ เลยโทรเรียกผมมาเนี่ย”
“หึ..ไม่มีอะไร เออ..มี”
“อ้าว..อะไร ยังไง มีหรือไม่มี” ผมถามย้ำ
“ก็ไอ้ปลวกจัญไรนี่สิ มันแทะเสาวิมานข้าจะพังอยู่แล้ว ถึงได้นั่งกลุ้มอยู่เนี่ย จะจุดไฟเผาหรือก็ใช่ที่ ไอ้ยากำจัดปลวกก็แพงบรรลัย ขวดละสามหมื่นห้า” ผมหัวเราะ
“โอย..บ้าแล้ว มีที่ไหนกัน โดนแหกตาเข้าแล้ว ตายๆๆๆ ไอ้ที่บอกขายที่เนี่ย จะเอาเงินไปซื้อยาใช่ไหม”
“อือ..ไม่รู้นี่หว่า เห็นมันบอกว่าเป็นของนอก ราดทีเดียวอยู่ไปห้าปีไม่มีปลวกมายุ่ง”
“โอ..เข้าใจแล้ว” ผมถึงบางโอทันทีที่สนทนาสอบถามมาถึงตรงนี้ นึกว่าอะไร หลงวิเคราะห์วิจารณ์ตามหลักวิชาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุเป็นตุเป็นตะ ที่ไหนได้ มันก็แค่ปัญหาขี้ผงเข้าตาหญ้าปากคอกนี่เอง
*******************
มุมหนึ่งของกรุงเทพมหานคร
“ตุ๊ดๆๆๆ..ตุ๊ดๆๆๆ..ตุ๊ดๆๆๆ..” เสียงเครื่องสื่อสารส่งสัญญาณเรียกตามปกติ ทว่าคนรอสายกระหายการตอบรับอย่างร้อนรนจนต้องระเบิดอารมณ์ออกมา
“สาดดเอ้ย..รับซะทีสิวะ มันจะฆ่ากรูอยู่แล้ว”
“ครับพี่ มีอะไรให้รับใช้ครับ” เจ้าคนรับสายเอ่ยเสียงนุ่มอย่างใจเย็น
“พวกมรึงไปมุดหัวอยู่ไหนรีบมาเดี๋ยวนี้เลย สาดด นายจะเอากูตายแล้ว”
“ก็เอาไปสิ ชอบไม่ใช่เรอะ”
“ว่ะ..ไอ้นี่ วอน กรูบอกให้รีบให้รีบ แมร่งเอ้ย” หัวหน้าทีมบอดี้การ์ดสบถก่อนวิ่งพรวดตาเหลือกเข้าหาชายสูงวัยรายงานความคืบหน้า
“สักครู่ครับท่าน อีกไม่เกินห้านาที” เขารับทราบอย่างเคร่งเครียด มันเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ถูกมวลชนฝ่ายตรงข้ามติดตามราวีไม่เป็นอันกินอันนั่ง อุตส่าห์เลือกหลบมุมมาดื่มกินอย่างไม่ให้เป็นที่เอิกเกริกอย่างขบวนแห่นาค ก็ยังถูกติดตามมาขัดขวางช่วงเวลาแห่งความสำราญกับอาหารหวานคาวมื้อเที่ยงนี้อีกจนได้ ช่างไม่เคารพในสิทธิเสรีภาพกันบ้างเลย
“ออกไป..ออกไป ออกไป...” เสียงตะโกนขับไล่ดังอื้ออึงใกล้เข้ามา ผู้คนแตกตื่นรีบเช็คบิลสาวเท้าก้าวออกหลังร้านอย่างขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆกัน เช่นเดียวกับพนักงานภายในร้าน หลายรายหนีขึ้นไปหลบชั้นบน ส่วนที่เหลือควบคุมสติได้ก็ยังคงให้บริการพาลูกค้าหลบออกหลังร้าน ทิ้งรถไว้ด้านหน้าเอาตัวรอดไปก่อน
“รัฐบาลโจร..ออกไป รัฐบาลโจร..ออกไป” ครั้งแล้วครั้งเล่าที่แกนนำร้องตะโกนว่ารัฐบาลโจร ผ่านเครื่องขยายเสียงที่ติดตั้งบนรถปิคอัพ มวลชนก็ประสานขานรับว่าออกไป ดังกระหึ่มกึกก้องกลบทับสรรพเสียงบริเวณนั้น ผู้คนหยุดชะงักสรรพกิจพากันมามุงดูอย่างประหลาดใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“โธ่โว้ย..มัวทำอะไรอยู่วะ มาซะทีซิโว้ย ไอ้ห่าลาก” หัวหน้าทีมผู้พิทักษ์ความปลอดภัยบ่นพำพึมแล้วสบถอย่างสุดทน เดินไปเดินมาพลางชะเง้อมองทาง ชั่วครู่จึงถอนหายใจคลายสีหน้าเคร่งเครียดวิ่งเข้าไปรายงาน
“เชิญครับท่าน พร้อมแล้วครับ” ชายสูงวัยมากสง่าราศีลุกพรวดขึ้นอย่างมีแรงขับภายในที่อัดแน่นอยู่ โดยไม่ต้องประคอง เขารีบสาวเท้าก้าวตามบอดี้การ์ดผู้เคลียร์เส้นทางเบื้องหน้า ปิดท้ายด้วยทีมระวังหลัง เร่งรุดไปที่พาหนะก่อนขับเคลื่อนออกไปอย่างเร่งรีบ
“พวกคุณทำงานกันยังไง หละหลวม ชุ่ยที่สุด ใช้ไม่ได้” ชายสูงวัยผู้รอดชีวิตอย่างหวุดหวิดต่อว่าหัวหน้างานข่าวกรองอย่างไม่ไว้หน้า หลังกลับถึงที่พำนัก
“ประทานโทษครับ คาดไม่ถึงจริงๆว่าพวกมันจะกำแหงขนาดนี้ เสียแรงที่ให้โอกาสกลับตัวกลับใจ” เขากล่าวอย่างสำนึกผิด ก่อนโยนบาปว่ามันเป็นเรื่องของคนเลี้ยงไม่เชื่อง แล้วก้มหน้านิ่งคิด
“ทั้งปี แล้วเมื่อไหร่คุณจะคาดถึงห๊า..” เขาสะดุ้งเฮือกเงยหน้าขึ้นมองแล้วนิ่งเงียบไปอีก ไม่แน่ใจว่าควรเสนอทางออกอย่างไร จึงจะเป็นที่พอใจ
“คุณจะปล่อยให้ไอ้พวกขี้ข้ากลุ่มอำนาจเก่ามาทำอย่างนี้อีกไม่ได้นะ ต้องหาทางกำราบไว้บ้าง ก่อนที่มันกำเริบเสิบสานไปมากกว่านี้”
“ครับท่าน ผมจะพยายาม”
“ไม่ใช่พยายาม..คุณต้องลงมือวันนี้และเดี๋ยวนี้ ผมรับไม่ได้กับสภาพบ้านเมืองแบบนี้ คุณเข้าใจไหม มันใช้สิทธิเกินขอบเขต ไม่มีขื่อมีแป”
“แปลว่าเราจะห้ามการชุมนุมเคลื่อนไหวยังงั้นเหรอ นานาชาติจะลดเครดิตเรานะครับ”
“คุณก็ประสานให้ฝ่ายนิติบัญญัติของเราช่วยกันผลักดันสิ ร่างกฎหมายก็มีอยู่แล้ว ก็แค่หยิบขึ้นมาปัดฝุ่นเสนอเข้าไป”
“อ้อ..ให้รัฐสภารับรองความชอบธรรม ลดแรงต้านจากภายนอก”
“ใช่..ต้องเร่งรัดให้ทันสมัยประชุมนี้เลย ไม่เช่นนั้นทุกอย่างเหลวหมด” หัวหน้าหน่วยข่าวพยักหน้านิ่งคิดอย่างเห็นจริง ถ้าไม่รีบดำเนินการในยุครัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารชุดนี้ ทุกอย่างจบ การสถาปนาอำนาจให้สามารถสืบทอดส่งผ่านต่อไปจักไม่อาจเกิดขึ้นได้
“เราจะสู้กระแสต่อต้านกฎหมายนี้ไหวไหม กี่รัฐบาลมาแล้ว กฎหมายนี้ไม่เคยผ่านการพิจารณาเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“ก็อย่างที่บอกให้เร่งรัดพิจารณาสามวาระรวดไง แล้วก็อย่าทำเอิกเกริกให้ไอ้พวกสื่อตามคุ้ยแคะอีก ใครพูดมากก็เลี้ยงดูมันหน่อย”
“ครับท่าน ผมจะรีบดำเนินการ”
“อือ..พอกันที ไอ้นโยบาย 007/m 79 ”
“เพราะนโยบายนี้แท้ๆ พวกมันถึงรุกคืบเข้ามาเคลื่อนไหวในเมือง แถมดึงพวกเราเข้าร่วม ล่าสุดก็ถล่มแพนตากอนซะยับเยิน เอาไว้ไม่ได้”
*********************
“พวกมันคือภัยคุกคามความมั่นคงกระท่อมกรู ไอ้มดปลวกพวกนี้ ไปเอายามาราดซิ” พ่อผมร้องสั่งให้ใช้มาตรการตอบโต้ขั้นเด็ดขาด
ผมนึกค้านในใจ ถึงอย่างไรมดปลวกก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ พวกมันควรมีสิทธิเสรีภาพในการหยัดยืน การทำลายมันก็เท่ากับทำลายวงจรของระบบนิเวศน์ให้ขาดหายไปหนึ่งวงจร ซึ่งไม่อาจประเมินได้ถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผมจึงลังเล
“เอ..แล้วจะเลือกอะไร ระหว่างความมั่นคงของพ่อกับมดปลวกพวกนั้น นี่หรือคือความมั่นคง”

***************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น