วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

ความศักดิ์สิทธิ์ "ตุลาการภิวัฒน์"


หลังจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดย ได้การแต่งตั้งองค์กรอิสระ อาทิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตชาติแห่ง (ป.ป.ช) คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (ค.ต.ส.) ขึ้นมาเพื่อปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น

นับแต่มีการยึดอำนาจครั้งนั้นกระบวนการยุติธรรมได้ถูกกยกระดับให้เข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น หรือที่หลายฝ่ายเรีกยว่า “ตุลาการภิวัฒน์”

การที่กระบวนการยุติธรรมเข้ามามีบทบาทมากขึ้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือทำให้บรรดานักการเมืองเกรงกลัวที่จะกระทำความผิด ส่วนข้อเสีย กระบวนการยุติธรรมอาจเสื่อมหมดความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชนและเวทีโลกหากมีการแทรกแซงองค์กรอิสระ เหมือนที่ คมช.เคยใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจจากรัฐบาล “ทักษิณ”

การบริหารบ้านเมืองตามหลักทฤษฎีว่าด้วยการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทย อำนาจนิติบัญญัติ ตุลาการ และบริหาร ต้องมีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน นั่นหมายถึงสามารถตรวจสอบกันได้ แต่หลังจากมีการยึดอำนาจ ฝ่ายตุลาการเข้ามามีบทบาททางการเมืองอย่างสูงและสามารถชี้เป็นชี้ตายหลายคดีในฝ่ายบริหาร ทั้งคดียุบพรรคไทยรักไทย ได้มีการตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองย้อนหลังตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ คมช.กำหนดขึ้น

หลังจากนั้นก็ยุบพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล ยังมีคดีนายสมัคร สุนทรเวช คดีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีด้วยฝีมือ “ตุลาการภิวัฒน์” ทั้งสิ้น

ล่าสุดต้นปี 2553 จะมีการตัดสินคดีใหญ่อีกหนึ่งคดี นั่นคือ “ยึดทรัพย์อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร" นายกฯ คนที่ 23 ของไทย นายกรัฐมนตรีท่านนี้มีข่าวการถูกลอบสังหารหลายครั้งในขณะดำรงตำแหน่ง ซึ่งไม่รู้ข้อเท็จจริงเป็นประการใด และเพิ่งถูกนำมาเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้

ครั้งแรกได้มีการสั่งการให้ยิงอาวุธหนักเข้าไปในบ้าน “ทักษิณ” แต่ผู้ร่วมวางแผนเห็นว่าหนักและรุนแรงเกินไป เนื่องจากเป็นการสังหารภรรยา ลูกๆ และคนในบ้านซึ่งไม่เกี่ยวข้องด้วย จึงเปลี่ยนมาเป็นใช้ปืน Snapper ยิงแทน แต่ไม่สำเร็จเนื่องจาก “ทักษิณ” เปลี่ยนเส้นทาง

ครั้งที่สองมีการวางแผนลอบสังหารงที่ท้องสนามหลวง แต่ “ทักษิณ” ขึ้นเวทีปราศรัยเร็วกว่าเวลาที่กำหนด ผู้ปฏิการเตรียมตัวไม่ทัน แผนการณ์จึงล้มเหลว

ครั้งที่สามที่ทางเข้าออกสนามบิน ช่วงที่ "ทักษิณ" กลับจากต่างประเทศ แต่สายข่าวได้รายงานให้ทราบล่วงหน้าจึงมีการเปลี่ยนเส้นทางได้ทันท่วงที ส่วนครั้งหลังสุดก็กรณีคาร์บอมม์หรือคาร์บ๊องส์ซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราวอยู่พักใหญ่

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2552 ศาลนัดไต่สวน นายกล้านรงค์ จันทิก กับ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และล่าสุดจะมีการนัดสอบพยานคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านเพิ่มอีกในวันที่ 12 และ 14 มกราคม 2553

ซึ่งเรื่องนี้ได้ถูก "กลุ่มคนเสื้อแดง" ขึ้นเวทีปราศรัยในหลายเวทีทั่วทุกภาคว่า "มีการตั้งธงไว้แล้วล่วงหน้า" เนื่องจากรัฐบาลคิดว่า หาก "ทักษิณ" ถูกยึดทรัพย์กลุ่มคนเสื้อแดงจะหยุดการเคลื่อนไหว เหตุเพราะขาดท่อน้ำเลี้ยง

พร้อมกันนั้นก็มีคำถามตามมาว่าหาก “ทักษิณ” ถูกยึกทรัพย์ ใครจะมีส่วนได้เงินสินบนหรือเงินรางวัลนำจับ และได้เท่าไหร่ จากขุมทรัพย์ "ทักษิณ"

เรื่องการตัดสินคดีความ จะยึดหรือไม่ยึดก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่โปรดอย่าลืมว่า ก่อนหน้าที่ “ทักษิณ” จะเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของครอบครัวไว้กับ ปปช.แว่วมาว่ามีมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท และก่อนหน้านั้นในปี 2543 นิตยสารฟอร์บส ได้จัดลำดับเศรษฐีโลก “ทักษิณ” ติดอันดับ ด้วยทรัพย์สินที่ตีมูลค่าจากหุ้นรวม 54,000 ล้านบาท

หลายคนคงสงสัยว่า หากจะคำนวณมูลค่าหุ้นของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร โดยเริ่มจากบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ปชป. ก่อนเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่าตามมูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์กระทั่งมาถึงวันที่ครอบครัวชินวัตรทำนิติกรรมซื้อขายได้หรือไม่

ส่วนเรื่องข้อกล่าวหาที่ว่า “มีการทุจริตเชิงนโยบาย” หากในช่วงทำนิติกรรมซื้อขาย หุ้นของครอบครัวชินวัตรขึ้นผิดปกติ หรือขึ้นอยู่บริษัทเดียว ในขณะที่กิจการในลักษณะเดียวกันมูลค่าหุ้นคงเดิม เพิ่มขึ้นหรือลดลงผิดปกติ กระบวนการยุติธรรมก็น่าจะนำประเด็นนี้มาพิจารณาด้วยเช่นกัน

จากคำพูดของหลายฝ่ายรวมทั้งข้ออ้างที่ คมช.ใช้ยึดอำนาจว่า “มีการทุจริตเชิงนโยบาย” ผู้เขียนเป็นงง เข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนรากหญ้าที่ถูกตราหน้าว่าไร้การศึกษา ซื้อสิทธิ์-ขายเสียง ก็คงงงยกกำลังสองเช่นกัน แล้วยิ่งต่างชาติฟังแล้วเป็นเง็ง งงไปอีกแปดตลบ เนื่องจากการกระทำในลักษณะนี้ต่างประเทศไม่มีกฏหมายรองรับ

และในประเทศไทยเอง กว่าจะตรวจสอบเจอ ก็ต้องมีการยึดอำนาจ 19 กันยา 2549 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)เสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้นกระบวนการยุติธรรมปกติที่ใช้กันมานาน ตั้งแต่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2540 ตรวจสอบความผิดลักษณะนี้ไม่พบใช่หรือไร คมช. จึงต้องตั้งหน่วยงานขึ้นมารับผิดชอบงานนี้โดยเฉพาะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น