วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บทความ เรื่องเล่าจากลูก


เรื่องเล่าจากลูก
โดย สุชาดา
"แม่" คือผู้หญิงที่อุ้มท้องเรามาตั้งแต่เกิด และเมื่อเราคลอดออกมาก็เลี้ยงดูเห่กล่อมให้กินนมจากอก พอเราเริ่มตั้งไข่จะเดินไปไหนมาไหน แม่ก็จะคอยเรียกหา พอเราโตขึ้นมาอีกนิด เราเริ่มกินอาหารได้ แม่ก็เอาอะไรของ เละๆ เทะๆ มาบดให้เรากิน ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ ลูกจึงตัดสินใจ


"เอาวะ..เอาซะหน่อย" เคี้ยวไปจั๊บๆ อย่างนั้นแหละ แต่แม่คุณก็ยิ้มปลื้ม คงนึกว่าเอ็รดอร่อยเสียเต็มประดา


"แม่จ๋า..ในปากน่ะ กล้วยบดแท้ๆ นะจ๊ะ" อยากจะบอกเป็นกำลังว่า ถ้าคิดว่ามันอร่อย ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ แต่ก็ทำไม่ได้พูดจายังไม่รู้ภาษา



ทีนี้พอเราเริ่มพูดจารู้เรื่อง แม่ก็ขับไล่ไสส่งให้เราไปเรียนหนังสือซะอีก ไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยนะ บางทีมีตีเราเข้าให้ แล้วภาษาอะไรก็ไม่รู้ เอามาให้เราหัดอ่านหัดเขียน ลองคิดดูสิสัปดาห์หนึ่งต้องไปโรงเรียนตั้งห้าวัน มันเป็นภาระหนักหนาแก่เราแค่ไหน



แต่พอเลิกเรียนได้เวลาดูทีวี ดูหนังการ์ตูน ขอนอนดึกหน่อย แม่ก็ห้ามแล้วยังเคี่ยวเข็ญให้เราไปนอน ตัวเองง่วงไปนอนคนเดียวก็ไม่ได้ ต้องบังคับให้เราไปนอนเป็นเพื่อนอีก ที่พูดนี่ไม่ใช่ลำเลิกเอาบุญเอาคุณกับแม่หรอกนะ เพียงแค่อยากให้เห็นใจกันบ้างเท่านั้นแหละ


วันเวลาผ่านไป เราโตขึ้น แต่แม่ก็ยังไม่ยอมโตตามเราสักที ลูกอยากทำผมทำเผ้า แต่งเนื้อเเต่งตัวให้ดูอินเทรนด์ ทันสมัยอย่างเพื่อนๆ เขาบ้าง แต่แม่ก็บ่นว่าสารพัด พยายามสกัดดาวรุ่งพุ่งแรงอย่างเรา พูดแล้วขนลุก (แอบนิทาเล็กๆ) ผู้หญิงคนนี้พัฒนาการไม่คืบหน้าเอาซะเลย....พวกคุณว่ามั้ย



พอเราสำเร็จการศึกษา เธอร้องไห้ค่ะ เชื่อเถอะว่าเธอต้องร้อง ถ้าเราไม่เห็นก็แปลว่าเธอต้องแอบร้องที่ไหนสักแห่ง มีอย่างที่ไหนเราคร่ำเคร่งร่ำเรียนมาแทบตาย แล้วตัวเองแท้ๆ ที่เป็นคนเริ่มเรื่อง พอเราเรียนจบแทนที่จะดีใจดันมาร้องไห้ซะอีก ดีนะว่าเราเข้าใจเพราะเคยอ่านคู่มือการเลี้ยงแม่ก็เลยทำใจได้

หลังจากเรียนจบ เราขอไปฉลองความสำเร็จกับเพื่อนๆ นอกบ้านก่อน ก็แหม..เรียนจบทั้งที จะให้มานั่งกินข้าวอยู่กับผู้หญิงแก่ๆ ได้ยังไง..ใช่มั้ย



เป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้วนี่ คราวนี้เราก็อยากมีแฟน คนโน้นแม่ก็ว่าไม่ดี คนนี้แม่ก็ว่าเรื่องมาก ผมยาวไปมั่งล่ะ ท่าทางดูไม่มีความรับผิดชอบบ้างล่ะ เราก็เลยบอกไปว่า
“แม่..แม่..แม่จะไปรู้อะไรนักหนา แม่เคยคบกับเขาแล้วเหรอ”

ไม่ใช่แค่เรื่องคู่ครองเท่านั้นนะ แม่ยังอยากรู้ต่อไปอีกถึงเรื่องอาชีพการงานว่าเราจะไปทำอะไร อยากเป็นอะไร
“แม่..แม่ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ยพวกเราจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของเรา อนาคตของเรา ขอให้เราได้ตัดสินใจเองจะได้มั้ย แต่รับรองกับแม่ได้อย่างหนึ่งว่า เราจะไม่เป็นเหมือนแม่หรอก... เพราะว่ามัน...เชย “



เวลาผ่านไปสมควรที่เราจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองสักที ไม่นานเราก็ย้ายออกจากบ้านเพื่อมายืนด้วยลำแข้งของตัวเองตามที่แม่เคยพร่ำสอน แม่ออกมายืนตาละห้อยที่หน้าบ้าน บ้านที่เราย้ายออกมาน่ะ มันก็ไม่ ได้ใกล้ ไม่ไกลนักหรอก แต่ที่ไม่ได้ไปหาบ่อยๆ ก็เพราะเวลามันรัดตัวจริงๆ ใช้โทรศัพท์คุยกันก็ได้นะแม่นะ



เมื่อถึงวันที่เรามีลูก แม่ยังพยายามอยากมาพัวพัน โดยการมาขอเลี้ยงลูกให้ เราบอกแม่ว่าไม่ต้องมายุ่งหรอก เราดูแลลูกของเราเองได้ เด็กสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยแม่แล้วล่ะ แม่อายุเกือบหกสิบปีแล้วไล่ตามลูกเราไม่ทันหรอก...อยู่เฉยเถอะ แม่ก็นั่งอึ้งคอตกน้ำตาซึมพักใหญ่ก็กลับบ้านไป

วันหนึ่งแม่ โทร.มาพลางส่งเสียงไอแค่กๆ บอกว่าไม่ค่อยสบาย เราบอกแม่ว่าอย่าคิดมาก ในใจเรารู้อยู่แล้วว่าแม่พยายามเรียกร้องความสนใจ นั่นเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติของคุณแม่วัยนี้ หลังจากนั้นแม่ก็เงียบหายไป



กระทั่งวันหนึ่งเราโทร.กลับไปหาแม่ แต่ ไม่มีคนรับสายแล้ว เราบอกตัวเองว่า อย่าเพิ่งตกใจ แม่อาจออกไปธุระหรือไม่ก็ไปทำบุญที่วัดตามประสาคนแก่ ลองโทร.เข้ามือถือแม่ดูซิ...ได้รับคำตอบว่า
“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก” เราบอกตัวเองว่า มือถือแม่อาจแบตหมดก็ได้ แม่เรา กระดูกเหล็กจะตายไป ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก ไปหาเมื่อไหร่ แม่ก็รอเราอยู่เหมือนเดิม ไปเมื่อไหร่ก็ต้องเจอ อย่างมากแกก็งอนนิดๆ พอเห็นหลานตัวเล็กๆ วิ่งเข้าไปกอดขี้คร้านจะใจอ่อน แต่ตอนนี้แม่..งอน เราบอกตัวเองว่า
“ว่างเมื่อไหร่ค่อยไปง้อ”

หลายวันผ่านไปแม่ก็ไม่โทร.กลับมาหา จะว่าไปทำธุระก็ไม่น่าจะนานขนาดนี้ หรือว่าชาร์จแบตมือถือไม่เต็มก็เป็นไปไม่ได้ เราจึงตัดสินใจพาครอบครัวไปหาแม่

ระหว่างทางที่เราขับรถ คุณลูกชายซนเป็นลิงอยู่ข้างๆ ประโยคมากมายที่หลุดจากปากเรา ล้วนแล้วเเต่เป็นคำที่แม่เคยพูดกับเรามาแล้วทั้งสิ้น ภาพจากอดีตมากมายที่แม่ทำให้เราย้ำเตือนอยู่ในหัวสมอง เล่นเอาเราน้ำตาซึม

ใจคิดไปว่าเมื่อถึงบ้านแม่ จะเข้าไปกอดท่าน แล้วกล่าวคำว่า รักแม่ และขอโทษที่ไม่ได้ดูแลเอาใจใส่” หลังจากนั้นเราหวังว่าทุกอย่างให้ดีขึ้น


แต่เมื่อไปถึง เราก็ได้เจอ “แม่” นอนตายอยู่อย่างเดียวดายภายในบ้าน ท่านคอยให้เราไปหา ไปดูแล พาท่านไปหาหมอ แต่เราไม่รู้...จวบจนกระทั่งทุกอย่างสายเกินไป

ใครที่ยังไม่ได้ทำอะไรเพื่อแม่ เริ่มซะแต่ตอนนี้ อย่าปล่อยให้วันเวลาล่วงเลยไปจนถึงนาทีสุดท้ายแห่งชีวิต


คำว่า “รักแม่” เพียงสั้นๆ และมอบดอกมะลิ ดอกไม้แห่งความบริสุทธิ์แทนใจ ซึ่งหาได้ทั่วไปตามท้องตลาด เพียงเท่านี้ “แม่” ก็ทราบซึ้ง ดีใจจนน้ำตาคลอ อย่ารอให้จนถึงวันที่ท่านลาจากโลกนี้ไปตลอดกาล


***********************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น